พาราสาวะถี
สถานการณ์การเมืองระหว่างรอผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญปม 8 ปีนายกรัฐมนตรีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เป็นไปอย่างที่คาดการณ์กันไว้
สถานการณ์การเมืองระหว่างรอผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญปม 8 ปีนายกรัฐมนตรีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เป็นไปอย่างที่คาดการณ์กันไว้ ปลายสมัยของรัฐบาลยิ่งเป็นรัฐบาลผสม พรรคการเมืองที่เคยจับมือกันมา แม้แต่ประกาศว่ารักใคร่กลมเกลียวกันปานใด จะแสดงธาตุแท้ออกมาเพื่อหวังผลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ปมร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชงฯ ที่ถูกมติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรโหวตให้ถอนร่างกฎหมายฉบับนี้ออกจากระเบียบวาระการประชุมนั้นคือภาพสะท้อนที่ชัดเจน
พรรคการเมืองที่เป็นเจ้าของญัตติอย่างภูมิใจไทย คงไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดเหตุการณ์พลิกผันกันเอาในวันสุดท้ายก่อนการพิจารณาร่างกฎหมายไม่กี่ชั่วโมง เนื่องจากมั่นใจว่าพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันจะสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้เพื่อที่จะแก้ปัญหาสุญญากาศหลังจากที่มีการปล่อยกัญชาเสรีไปก่อนหน้า ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เมื่อยังไม่มีกฎหมายควบคุมก็ไม่ควรที่จะรีบเร่งดำเนินการ แม้จะมีการออกประกาศกฎกระทรวงเป็นเครื่องมือควบคุม แต่ผลที่ได้ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่สิ่งที่พรรคของ อนุทิน ชาญวีรกูล ไม่คาดคิดคือไม่น่าเชื่อว่าประชาธิปัตย์จะไปจับมือกับฝ่ายค้านร่วมกันเสนอญัตติให้ถอนร่างกฎหมายฉบับนี้ออกจากวาระการประชุม ทั้งที่พรรคของเสี่ยหนูลงทุนส่งมือกฎหมายชั้นดีของพรรคอย่าง ศุภชัย ใจสมุทร มานั่งเป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณากันอย่างดี โดยมีการดึงบุคคลจากภาคส่วนต่าง ๆ มาเข้าร่วม แต่เหตุผลที่พรรคเก่าแก่คัดค้าน คือ พิจารณาในเนื้อของกฎหมายมีลักษณะที่ไม่ได้เป็นการควบคุม หรือใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
การให้ประชาชนสามารถปลูกได้โดยเสรีเพียงแต่จดแจ้งเท่านั้น ไม่ใช่วัตถุประสงค์ทางการแพทย์ แต่เป็นเรื่องนันทนาการ พอเจาะจงประเด็นแบบนี้คนจำนวนไม่น้อยย่อมคล้อยตาม ซึ่งความเคลื่อนไหวของพรรคเก่าแก่ไม่ใช่การคว่ำร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เพียงแต่ให้ถอนออกจากวาระเพื่อนำกลับไปทบทวน ปรับปรุง เพราะร่างฉบับนี้เป็นของพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่ร่างของรัฐบาล อาจไม่ได้รับความเห็นจากส่วนราชการต่าง ๆ หรือรับการตรวจจากคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อมีการปรับปรุงแก้ไขทั้งร่างจากที่เสนอเข้ามาเป็นการแก้เกือบทุกมาตรา ก็อาจจะมีความไม่รอบคอบได้
นี่คือสไตล์ของพรรคประชาธิปัตย์ ยกแม่น้ำทั้งห้ามาจี้จุดให้เกิดแนวร่วม แน่นอนว่า ย่อมเข้าทางฝ่ายค้านที่ไม่เห็นด้วยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือเป็นการหักหน้ากันทางการเมือง และต้องอย่าลืมว่าเสี่ยหนูก็เพิ่งมีข่าวหลุดจากแคนดิเดตนายกฯ หากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ได้ไปต่อ ก็เพราะนโยบายกัญชาเสรีนี่เอง ดังนั้น จึงไม่มีจังหวะเวลาไหนที่จะเหมาะสมเท่าเวลานี้อีกแล้วที่พรรคเก่าแก่จะเอาคืนกันทางการเมือง ทำลายความน่าเชื่อถือของเพื่อนที่ปากบอกว่ารัก เตะตัดขา ทำลายจังหวะกันตั้งแต่ระฆังเลือกตั้งเริ่มดังกันเลยทีเดียว
การเดินเกมเช่นนี้แม้ไม่ใช่การคว่ำร่างกฎหมาย แต่ก็เหมือนการทำหมันไปในตัว เพราะสภาเหลือเวลาของสมัยประชุมนี้อีกไม่กี่วัน เมื่อเปิดมาสมัยประชุมหน้าก็จะมีการอ้างวาระสำคัญเรื่องอื่นที่จ่อคิวรออยู่แล้วจำนวนมาก หากจะผลักดันกันต่อก็ต้องไปต่อแถว ซึ่งแนวโน้มเด่นชัดว่าจะไม่ทันวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ที่จะครบเทอมกันต้นปีหน้า ถ้าเกิดยุบสภาก่อนก็จบเห่กันเร็วขึ้นไปอีก ของพรรค์นี้รู้กันดีว่าเกิดอะไรขึ้น
เราจึงได้เห็นศุภชัยต่อรองให้ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรังของพรรคเก่าแก่ถอนญัตติที่จะให้ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกจากวาระการประชุม แต่ขอให้มีการพิจารณาร่างกฎหมายกันไปเพียง 1 มาตราก่อนก็ได้ จากนั้นก็ให้ค้างไว้เพื่อนำกลับไปแก้ไขเนื้อหาในสิ่งที่สมาชิกแนะนำและเป็นห่วง แล้วค่อยนำกลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้งในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่จะเปิดสมัยประชุมครั้งสุดท้าย แต่ฝ่ายค้านก็ยืนยันว่าทำไม่ได้ จนนำไปสู่การลงมติให้ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวจากวาระการประชุมสภาในที่สุด
พรรคของเสี่ยหนูถือว่าเสียหน้า เสียรังวัดกันอย่างหนัก แต่ตามสูตรเชื่อได้เลยว่า จะมีการให้บุคลากรทางการแพทย์หรือหมอการเมืองที่อยู่ภายใต้การสั่งการ ออกมาสื่อสารกับสังคม ชี้แจงถึงเจตนาดีที่ผลักดันร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว จากนั้นก็จะตามมาด้วยการโยนให้ประชาชนช่วยตัดสินว่าใครกันเป็นผู้ดับฝัน ทำลายโอกาสของประชาชนโดยเฉพาะพวกสายเขียวที่จะได้ใช้กัญชากันอย่างถูกกฎหมาย คงไม่จบกันแบบง่าย ๆ เงียบ ๆ สำหรับสองพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญ
ถ้าจับเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาผูกโยงกับการเตรียมอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญปม 8 ปีความเป็นนายกรัฐมนตรีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ก็อาจจะเป็นการส่งสัญญาณอย่างหนึ่งว่า ความเป็นไปได้ที่จะ “ไม่ได้ไปต่อ” นั้นมีสูงกว่า “รอด” หากแนวโน้มเด่นชัดว่าท่านผู้นำจะได้ไปต่อคงไม่เกิดปรากฏการณ์เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดกันแบบนี้ เนื่องจากยังมีความเกรงใจหัวหน้ารัฐบาลที่ยังจะต้องร่วมงานกันต่อไปจนกว่าจะครบวาระหรือยุบสภา
เมื่อมาช่วงชิงความได้เปรียบกันแบบนี้ ก็ทำให้คนทั่วไปมองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากจะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ในห้วงเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมานั้น เราได้เห็นการใช้เล่ห์เหลี่ยมของพวกเนติบริกรศรีธนญชัยหลายเรื่องต้องอ้าปากค้างกันเลยทีเดียว หนนี้ก็ไม่ต่างกัน ได้เห็นความพยายามที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงที่ตัวเองเขียนมากับมือ พยายามทำให้เรื่องที่ผิดกลายเป็นถูกแบบไม่รู้สึกละอายใจ ต้องยอมรับในความอย่างหนาจริง ๆ
บทสรุปของคดีนี้ หากมีการพิจารณาถึงสถานการณ์ของบ้านเมืองที่ดำเนินไปในเวลานี้ รวมไปถึงความน่าเชื่อถือการยอมรับในองค์กรของประชาชน หลังจากถูกมองด้วยสายตาที่เคลือบแคลง ไร้ความศรัทธามาอย่างยาวนาน ดังนั้น จึงน่าจะเป็นโอกาสที่ผู้ซึ่งถูกยกให้เป็นองค์กรอิสระในการแก้ปมปัญหาสำคัญของประเทศ จะใช้จังหวะนี้เรียกความศรัทธากลับคืนสู่องค์กร และตัดสินใจโดยมองไปถึงความอยู่รอดของประชาชนและการนำพาประเทศเดินไปข้างหน้าที่เป็นจริง ไม่ใช่แค่วาทกรรมเหมือนที่ผ่านมา