ADVANC, JASIF และ JAS
ย้อนกลับไปดูกราฟราคาของทั้ง 3 หุ้น คือ ADVANC, JASIF และ JAS จะพบว่าในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาปรับลงมาตลอด
ย้อนกลับไปดูกราฟราคาของทั้ง 3 หุ้น คือ ADVANC, JASIF และ JAS
จะพบว่าในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาปรับลงมาตลอด
แตกต่างจากช่วงแรก ๆ ที่มีการประกาศดีลของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ที่จะเข้าซื้อหุ้นในบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTTBB และ JASIF จากบริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS
ในช่วงนั้นราคาของแอดวานซ์ฯ กลับบวกขึ้น
ด้วยเหตุผลจากผลประกอบการน่าจะมีอัพไซด์จากการเข้าซื้อหุ้นใน TTTBB และ JASIF
ส่วนราคาต่อหน่วยของ JASIF กลับลงอย่างหนัก จากเงื่อนไขในสัญญาระหว่าง TTTBB และ JASIF จะมีการเปลี่ยนแปลง
ส่วน JAS เองนั้น ราคาร่วงลงหนักเช่นกัน
สาเหตุเพราะ TTTBB คือธุรกิจหลักของจัสมินฯ
เมื่อจัสมินฯ ขายหุ้น TTTBB ทั้งหมด อาจทำให้ส่งผลต่อรายได้ในอนาคต
และถึงแม้จัสมินฯ จะบอกว่าไปลุยกับธุรกิจกับบริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ JTS
ทว่า นักลงทุนยังคงไม่มั่นใจว่าธุรกิจที่ JTS กำลังดำเนินการอยู่นั้น
ในอนาคตจะเป็นอย่างไร
ล่าสุดราคาหุ้นของ JAS ลงมาเคลื่อนไหวอยู่ประมาณ 2.40-2.44 บาทต่อหุ้น
จากที่ก่อนประกาศดีลขาย TTTBB ราคาตอนนั้นอยู่บริเวณ 3.60 บาทต่อหุ้น หรือปรับลงมาประมาณ 34%
ในส่วนราคาต่อหน่วยของ JASIF
ล่าสุดยังคงเคลื่อนไหวที่ 8.05–8.10 บาทต่อหน่วยลงทุน
ราคาต่อหน่วยลงทุนของ JASIF ผันผวนมาก
และผันผวนมากกว่า ADVANC และ JAS เพราะราคาหน่วยฯ ได้สวิงขึ้นลง หรือเกิดแรงเหวี่ยง (มหาศาล) จนยากที่จะประเมินได้ว่าราคาต่อไปจะเป็นอย่างไร
เดิมนั้น ราคาของ JASIF ที่ปรับลงจากระดับ 11.00 บาท (ช่วงก่อนประกาศดีล) เกิดจาก
1.ราคาที่แอดวานซ์ฯ ซื้อ JASIF (8.50 บาท) ต่ำกว่าราคากระดาน
2.มีการเปลี่ยนแปลงในสัญญาเกี่ยวกับการยกเลิกสัญญาการประกันรายได้ค่าเช่าและการลดค่าเช่าเส้นใยแก้วนำแสง (OFCs)
แต่น้ำหนักหรือปัจจัยที่ทำให้ราคา JASIF ลงอย่างหนักน่าจะมาจากข้อ 2 มากกว่า
ส่วนล่าสุดของล่าสุด หรือในขณะนี้นั้น
เหตุผลของราคาขึ้นและลงของ JASIF คล้ายกับว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ข้อที่ว่านี้แล้ว
แต่เหมือนว่าหากผู้ถือหน่วยไม่โหวตผ่านนั้น
ทำให้นักลงทุนอีกกลุ่มถือหน่วยลงทุนอยู่ หวั่นว่าจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงสปอนเซอร์
หรือสรุปง่าย ๆ ว่า กลัวว่าแอดวานซ์ฯ จะไม่ได้เข้ามาถือหุ้นใหญ่
เลยปรับพอร์ตขาย JASIF ออกไปก่อน
ส่งผลให้ราคาต่อหน่วยฯ ปรับลง และมาอยู่ที่ 8.05–8.10 บาท
เป็นไปได้ว่านักลงทุนที่ขายออกมานี้ น่าจะเป็นกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาลงทุน (ไม่มีสิทธิเข้าประชุมและโหวต) ในช่วงที่ราคาของ JASIF ลงมาที่ 7.15–8.00 บาท
เพราะหากใครได้ซื้อที่ราคานี้ แล้วไปเทียบกับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับหากแอดวานซ์ฯ เข้ามา
อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ประมาณ 7.5% บวก/ลบ (ตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์) ส่วนกลุ่มที่ถือหน่วยฯ มาก่อนหน้านี้ (และมีสิทธิเข้าประชุมวิสามัญฯ และโหวต) และมีต้นทุน 10.00 บาท บวก/ลบ
แน่นอนว่ากลุ่มที่ถือหน่วยลงทุนมาก่อนหน้านี้จะสูญเสียผลประโยชน์อย่างมาก
จึงพยายามเคลื่อนไหวอย่างหนักเพื่อรักษาและดึงผลประโยชน์ของตนเองกลับ
ส่วนราคาหุ้น ADVANC ที่เคยทะยานขึ้นไป
กลับร่วงลงต่อเนื่อง
มีการคาดกันว่าน่าจะเกิดจากแนวโน้มไตรมาส 3/65 ที่ออกมาไม่ดีนัก
แต่ปัจจัยงวดไตรมาส 3/65 นี้ ว่ากันว่าราคาหุ้นน่าจะตอบรับเชิงลบไปแล้ว ไม่ใช่ประเด็นใหม่
อีกเหตุผลที่ประเมินถึงราคาหุ้น ADVANC ปรับลง อาจจะมาจากเรื่องดีล JASIF นี่แหละ ว่าแอดวานซ์ฯ อาจจะยอมถอยในบางเรื่อง และทำให้ผลประโยชน์จากที่เคยว่าจะได้เท่านั้นเท่านี้
ตัวเลขตรงนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อถามว่าแล้วกลุ่มนักลงทุนที่ขายหุ้น ADVANC ออกมาคือกลุ่มไหน
หุ้นขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) อย่าง ADVANC และราคารูดลงหนักแบบนี้ มีเพียงกลุ่มเดียวคือ “นักลงทุนสถาบัน”
ส่วนจะเป็นสถาบันในประเทศ หรือต่างชาติ
ตรงนี้ไม่ทราบจริง ๆ
สรุป หลังการประกาศดีลที่ว่านี้ ทั้ง 3 หุ้นราคาต่างปรับลงทั้งหมด