พาราสาวะถี

เต้นกันเป็นเจ้าเข้าคืออาการของพวกเชียร์ผู้นำเผด็จการแบบไม่ลืมหูลืมตา กับมุกตลกเสียดสีผ่านการแสดงเดี่ยวไมโครโฟน 13 ของ “โน้ส” อุดม แต้พานิช


เต้นกันเป็นเจ้าเข้าคืออาการของพวกเชียร์ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแบบไม่ลืมหูลืมตา กับมุกตลกเสียดสีผ่านการแสดงเดี่ยวไมโครโฟน 13 ของ “โน้ส” อุดม แต้พานิช เพราะความที่ผ่านมาบรรดาเซเลบทั้งหลายจะต้องให้ท้าย ยกหางให้ลุงเป็นคนดีคนเก่งที่ประเทศไทยจะขาดไม่ได้เท่านั้น พลันที่โน้สดันทะลึ่งใช้มุกประชดประชันที่มันไปตกใจกับคนส่วนใหญ่ จากที่อย่างหนาเลยกลายเป็นพวกหน้าบาง ตีโพยตีพาย รับไม่ได้ บางรายถึงขนาดที่โพสต์รูปของตัวเองใช้เท้ากระทืบซีดีเดี่ยวไมโครโฟนที่ผ่าน ๆ มากันเลยทีเดียว

นี่เป็นผลพวงของการทำไอโอแบบไม่ลืมหูลืมตา ก็เหมือนอย่างที่นักพูดคนดังว่า “ยืนยันเรื่องความโปร่งใส แต่ไม่ให้ตรวจสอบ” ทุกอย่างต้องใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ปิดปากคนเห็นต่าง แม้กระทั่งมีสถานการณ์โควิด-19 ก็ยกเอา พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาใช้เพื่อรวบอำนาจทุกอย่างไว้กับตัวเอง แล้วก็ใช้อำนาจอีกด้านเพื่อให้พวกลิ่วล้อสอพลอได้ใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการคนที่เคลื่อนไหวต่อต้าน ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เมื่อมีคนมาพูดในสิ่งที่เป็นความจริงแบบนี้มันจึงทนกันไม่ได้ต้องออกมากระทืบเท้าขู่กันเป็นแถว

ทั้งที่ผ่านมา บรรดาผู้นำประเทศทุกสมัยต่างก็เคยถูกโน้ส อุดม นำปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคของการบริหารงานนั้นไปพูดบนเวทีเดี่ยวไมโครโฟนทุกรอบ แต่ไม่เห็นมีใครโวยวายหรือไม่พอใจ รับไม่ได้กันแบบนี้ ความจริงแทนที่จะเรียกร้องโน่นนี่นั่น ผลพวงจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นนายกรัฐมนตรี 8 ปีเริ่มนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2560 บังคับใช้ ดังนั้น ความเป็นผู้นำเมื่อปี 2562 ควรที่จะต้องแสดงความโปร่งใสด้วยการรีบยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินให้ ป.ป.ช.ได้แล้ว

เพื่อที่จะไม่ให้เหมือนอย่างที่นักพูดคนดังว่าและคนทั่วไปมอง คือ อ้างความโปร่งใสแต่ไม่ให้ตรวจสอบ วลีสำคัญอีกประโยคที่โน้สพูดไว้ แล้วมีการนำไปขยายผลกันต่ออย่างสนุกสนานคือ “สร้างปัญหาต่อ ก่อปัญหาใหม่” เรียกได้ว่าทุกมุกมันตรงใจ ได้ใจคนที่ไม่ได้เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งเรื่องที่บอกว่า แก้ปัญหาชาติด้วยการแต่งเพลง แก้ปัญหาตัวเองด้วยการทำเป็นโมโห แค่นึกภาพตามก็แจ่มแจ้งกันแล้ว

แต่เข้าใจว่าสิ่งที่ทำให้กองเชียร์ไม่ลืมหูลืมตา ไม่พอใจ คงเป็นประเด็นที่ไปพูดถึงเรื่องที่อ้างว่าอาสามากู้ชาติ โดยที่โน้สบอกต่อว่า ไม่ได้กู้แค่ชาติเดียวกู้มาหลายชาติแล้ว ชาติล่าสุดเพิ่งกู้ญี่ปุ่น เมื่อทำกันอย่างนี้ก็เท่ากับว่าหลังลงจากอำนาจก็จะเป็นการส่งมอบมรดกหนี้สินให้กับลูกหลาน ที่ไปจี้ใจดำพวกยกหางจนมองว่านักพูดคนดังเป็นพวกม็อบสามนิ้วให้ท้ายคนรุ่นใหม่ก็คือวรรคทองที่ว่า “มันผ่อนไม่จบที่รุ่นเรา” และตอนนี้เป็นหนี้สิบกว่าล้านล้าน มาร่วมแรงร่วมใจผ่อนไปด้วยกัน

บรรดาพวกเชลียร์จะหัวเสียกันอย่างไรก็ว่ากันไป แต่ที่ออกหน้าออกตาอย่างนักร้อง (เรียน) คนดัง ศรีสุวรรณ จรรยา ที่ขู่ฟ่อด ๆ ว่า โน้สให้ท้ายม็อบและจะไปร้องเอาผิดนั้น ถ้าไม่อยากหน้าแหกก็ควรยุติท่าทีนี้เสีย อย่างไรก็ตาม หากมองอย่างเป็นวิชาการ สิ่งที่แสดงออกผ่านเหล่ากองเชียร์ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและขบวนการสืบทอดอำนาจนั้น มันสะท้อนให้เห็นถึงขบวนการปลุกปั่น สร้างความเกลียดชังก่อนยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 ที่อ้างความแตกแยกของประชาชนทำให้ต้องก่อรัฐประหาร

เวลาผ่านไปกว่า 8 ปี ความแตกแยกดังกล่าวไม่ได้หมดไป มิหนำซ้ำ ประเด็นนี้ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการที่จะให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอยู่ในตำแหน่งต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ความเห็นจาก สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ต่อปรากฏการณ์เดี่ยว 13 จึงน่าสนใจ เพราะสิริพรรณมองว่า แม้สแตนด์อัพคอมเมดี้จะเป็นการแสดง แต่ 20 นาทีสุดท้ายของเดี่ยว 13 บอกเราได้ว่า การให้คุณค่าทางการเมืองของคนชั้นกลาง ณ ปัจจุบัน ขยับตัวออกห่างจากชนชั้นนำทหารอย่างมีนัยสำคัญ

กระนั้น ต้องไม่ลืมว่า ทหารเคยสูญเสียการยอมรับในช่วงพฤษภาคม 2535 และกลับมาเป็นที่พึ่งและความหวังของคนชั้นกลางอีกครั้งก่อนการรัฐประหาร 2549 และรัฐประหาร 2557 รูปแบบความสัมพันธ์และแนวร่วมระหว่างชนชั้นกลาง ชนชั้นนำ และทหาร เป็นตัวกำหนดพัฒนาการของระบอบการเมืองในหลายประเทศ แน่นอนว่า สิ่งที่สิริพรรณไม่ได้พูดต่อ แต่คนไทยส่วนใหญ่อยากถามในเวลานี้ก็คือ ที่พึ่งและความหวังของคนชั้นกลางหลังรัฐประหาร 2557 คือตัวความหวังที่จะทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้หรือไม่

คำตอบมันชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้ว กว่า 8 ปีที่ผ่านมา กว่าจะรู้ว่าใช้ตัวช่วยผิด ก็ต้องปล่อยให้บรรดาคนชั้นกลางทั้งหลายได้เผชิญกับวิกฤตสารพัด จนตกผลึกทางความคิดว่า การบริหารประเทศต้องใช้คนแบบไหน ประเภทที่เอาแต่สั่งให้คนซ้ายหันขวาหันมาทั้งชีวิตนั้น เป็นได้ก็แค่พวกขี้โม้ โอ้อวดไปวัน ๆ วลีอมตะ เป็นนายกฯ ไม่เห็นยากตรงไหน ถ้าง่ายจริงก็คงไม่ใช้วิธีแก้ปัญหาตัวเองด้วยการทำเป็นโมโหเหมือนอย่างที่ถูกนักพูดคนดังค่อนขอด

อย่างไรก็ตาม เมื่อถอดรหัสจากปฏิกิริยาของพวกกองเชียร์ไม่ลืมหูลืมตาต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ คงจะเป็นตัวช่วยที่จะสะท้อนกลับไปยังการกำหนดท่าที ทิศทางทางการเมืองของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้ดีว่า แม้จะเหลือเวลาในการทำหน้าที่นายกฯ อีกไม่ถึง 2 ปีหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็จะยังเดินหน้าที่จะใช้กลไกของการสืบทอดอำนาจเพื่อให้ตัวเองอยู่ต่อไปจนวินาทีสุดท้าย ถือเป็นความท้าทายทั้งต่อตัวเองและกระแสของสังคมที่จะแสดงออกผ่านการเลือกตั้ง

สิ่งที่คนส่วนใหญ่กังวลก็คือ ด้วยท่วงทำนองเช่นนี้ ปากก็พล่ามว่าให้คนไทยรัก สามัคคีกัน แต่กองเชียร์ตัวเองกลับแสดงออกถึงความสุดโต่ง แสดงความเกลียดชังต่อฝ่ายที่เห็นต่าง มันจะอยู่กันได้อย่างสงบสุขอย่างไร ดังนั้น ก่อนที่จะไปถึงการเลือกตั้งไม่ว่าจะลากกันไปจนครบวาระหรือชิงยุบสภาเพื่อสั่งสอนทางการเมืองอย่างไรก็ตาม คนจำนวนไม่น้อยชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ามันจะเดินไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ หวั่นว่ามันจะเกิดเหตุบางอย่างทางการเมืองหรือไม่ เบื้องต้นอาจไม่ใช่การรัฐประหาร แต่จะมีชนวนเหตุแห่งความขัดแย้ง จนบานปลาย แล้วสุดท้ายก็ต้องจบกันที่ปลายกระบอกปืน

Back to top button