พาราสาวะถี
จะไม่ให้สังคมกังขาได้อย่างไรว่าแนวคิดทางการเมืองระหว่าง พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. กับ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จะไม่ให้สังคมกังขาได้อย่างไรว่าแนวคิดทางการเมืองระหว่าง พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. กับ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ยกตัวอย่างประเด็นเดี่ยว 13 ที่บรรดาลิ่วล้อสอพลอ กองเชียร์ไม่ลืมหูลืมตา ดาหน้าออกมาถล่ม “โน้ส” อุดม แต้พานิช กันหนักหน่วง บางรายถึงขั้นขู่ที่จะดำเนินการทางกฎหมาย โทษฐานไปแตะคนที่ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ แต่พี่ใหญ่กลับมองเรื่องนี้เป็นเรื่องของความบันเทิง เป็นเรื่องของการพูดตลกและเป็นเรื่องที่สามารถวิจารณ์บุคคลสาธารณะได้
ความเคลื่อนไหวดังว่าจะเรียกเป็นนายไม่ได้ว่าแต่ขี้ข้าดันเสนอหน้าปกป้องกันเองก็คงไม่ใช่ เพราะพฤติกรรมของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ผ่านมา ก็ไม่ยอมให้ใครมาวิจารณ์ตัวเองอยู่แล้ว มิเช่นนั้น คงไม่ใช้กฎหมายพิเศษในการที่จะรวบอำนาจไว้กับตัวเองทั้งหมด แม้กระทั่งได้รับเลือกตั้งโดยที่ปากก็อ้างว่ามาจากประชาชนแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้กฎหมายปิดปาก ห้ามความเคลื่อนไหวของคนเห็นต่างอยู่ จนกระทั่งโควิดมันคลี่คลาย จึงหมดมุกที่จะดันทุรังใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกต่อไป
คงไม่ต้องสาธยายอะไรกันให้มาก ความพยายามของพวกสอพลอทั้งหลายเป็นได้เพียงแค่การทำตามหน้าที่ของผู้ที่ภักดีต่อขบวนการเผด็จการสืบทอดอำนาจ หรืออีกนัยหนึ่งบางพวกคือคนที่ได้ดิบได้ดี หากิน มีผลประโยชน์จากการประเคนให้ของอำนาจสืบทอด จึงต้องตอบแทนกันแบบลืมไปว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้กินหญ้า ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่แปลกใจถ้าจะเป็นไปอย่างที่นักพูดคนดังว่า สร้างปัญหาต่อ ก่อปัญหาใหม่ ใครคือตัวการ ใครคือพวกรับงานขับเคลื่อนคงไม่ต้องสืบค้นกันอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม การตั้งป้อมที่จะเล่นงานโน้ส อุดม ในแง่ของกฎหมายนั้น อดีตกุนซือของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. อย่าง ไพศาล พืชมงคล ให้ความเห็นไว้น่าสนใจ โดยเจ้าตัวชี้ว่า การจะเล่นงานนักพูดคนดังหนนี้ไม่ใช่เรื่องหมู งานง่ายเหมือนที่ใช้ข้อกฎหมายเล่นงานคนเห็นต่างที่ผ่านมา เพราะครั้งนี้มีการลุกฮือขึ้นสู้ มีนักกฎหมาย ทนายความ อาสาสมัครช่วยโน้ส อุดม กันจำนวนมาก แม้กระทั่งสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยก็เอาด้วยช่วยกัน
ทั้งนี้ ในมุมของไพศาลได้ให้คาถาไว้ 3 ข้อที่เชื่อว่า สู้กันศาลไหนนักพูดคนดังก็ไม่มีแพ้ ประการแรก รายงานพูดของโน้ส อุดม ไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย เป็นเรื่องที่สามารถวิจารณ์บุคคลสาธารณะได้ ดังนั้นใครมากลั่นแกล้งดำเนินคดี คน ๆ นั้นก็จะเป็นฝ่ายที่กระทำความผิดเสียเอง โดยที่นักพูดคนดังจะเป็นผู้ที่ยืนอยู่ฝ่ายธรรมะ อันจะเห็นได้ว่ามีคนแสดงความประสงค์ที่จะให้ความช่วยเหลือกันไม่หยุด แม้กระทั่งตนก็มีคนมาชวนให้ไปช่วยแต่ถึงนาทีนี้ไม่จำเป็นแล้ว
ประการต่อมา พวกกองหลอน กองด่า กองทุบ ที่ใส่ร้ายป้ายสีให้นักพูดคนดังเสียหายนั้น สามารถดำเนินคดีอาญาให้บทเรียนสั่งสอนกับคนพวกนี้ได้ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป สุดท้าย ผู้ที่ไปร้องเรียนกล่าวหาว่าโน้ส อุดมกระทำความผิดทางอาญา ก็ให้ฟ้องคดีอาญาเป็นรายบุคคลในข้อหาแจ้งความเท็จโดยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น และขอให้ศาลลงโทษสถานหนัก โดยให้นับโทษจากคดีที่ทำความผิดไว้ก่อนแล้วด้วย
ในความเห็นของไพศาล คือ คนที่เรียกตัวเองว่ามีอาชีพสื่อมวลชน แล้วเข้าไปร่วมกับขบวนการทำลายนักพูดคนดังกล่าว หากมีการฟ้องร้องดำเนินคดีก็ขอให้ศาลสั่งห้ามประกอบอาชีพเสียด้วย เพราะเป็นผู้ใช้อาชีพในการกระทำความผิด ตรงนี้คงเป็นได้เพียงข้อเสนอ เพราะความจริงอย่างที่บอกมาโดยตลอด สมาคมวิชาชีพทั้งหลายไม่เคยที่จะสนใจ หรือใส่ใจตรวจสอบกระบวนการในการทำหน้าที่เหล่านี้เสียด้วยซ้ำ ด้วยข้ออ้างที่ว่า สื่อทุกแห่งล้วนเป็นอิสระก้าวล่วง ก้าวก่ายกันไม่ได้
ทั้งที่ความจริงตลอดระยะเวลาแห่งความขัดแย้งเห็นได้ชัดว่ามีการเลือกปฏิบัติ จะตักเตือน หรือกล่าวหาเฉพาะสื่อที่ถูกชี้นิ้วว่าเป็นฝ่ายที่สนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยเสียส่วนใหญ่ ส่วนพวกที่อุ้มสมเผด็จการสืบทอดอำนาจ หรือเครือข่ายอำมาตยาธิปไตยนั้น สมาคมวิชาชีพไม่เคยแตะต้อง โดยที่เห็นกันอยู่ตำตาว่าพฤติกรรมในการนำเสนอข่าวนั้นบิดเบือน ไร้ข้อเท็จจริงมากกว่าพวกที่ถูกยัดเยียดให้เป็นสื่อเลือกข้างเสียอีก
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับความเคลื่อนไหวของพวกกล่าวหาโน้ส อุดมนั้น มันก็เป็นภาพสะท้อนของการรับไม่ได้กับกระแสตกต่ำของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ไม่อาจยอมรับความเป็นจริงในแง่พฤติกรรมที่แม้จะเป็นการพูดให้ตลก แต่เหล่านี้คือสิ่งที่คนไทยได้เห็นมาตลอดระยะเวลากว่า 8 ปี ยิ่งแสดงปฏิกิริยากันออกมามากเท่าไหร่ มันยิ่งชวนทำให้มองเห็นถึงสถานการณ์ทางการเมืองว่าด้วยการเลือกตั้งครั้งหน้าได้เป็นอย่างดี
การออกมาเรียกร้องให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจสมัครเป็นสมาชิกพรรคสืบทอดอำนาจเพื่อถือธงนำร่วมกับพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.สู้ศึกเลือกตั้ง จากปากของ วีระกร คำประกอบ ส.ส.อาวุโสในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคนั้น ถือเป็นไม้ตายสุดท้ายแล้วเพื่อที่จะการันตีว่าสนามเลือกตั้งหนนี้ ยังไงเสียพรรคแกนนำรัฐบาลก็จะได้กลับมาเป็นแกนหลักในการกุมอำนาจฝ่ายบริหารอีกหนแน่นอน เพราะมีฐานของ 250 เสียง ส.ว.ลากตั้งที่ปักธงไว้แล้วว่าจะโหวตใครเป็นนายกรัฐมนตรี
โดยที่ ส.ส.ผู้เฒ่ารายนี้คงลืมไปว่า การเลือกตั้งรอบนี้ไม่ได้เหมือนเมื่อคราวปี 2562 ทั้งกระแสของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ การต้องการความสงบจึงต้องจบที่ลุง หากแต่คนส่วนใหญ่มองไปที่ตัวบุคคลและนโยบายพรรคที่จะเข้ามาช่วยฟื้นฟู ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดี กินดี ไม่ใช่แค่การโกหกพกลม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน แต่ผ่านไปกว่า 8 ปีคนมีแต่จนลงจนเกือบหมดประเทศ มิหนำซ้ำ ความไม่ลงรอยในแง่มุมมองทางการเมืองระหว่างพี่ใหญ่กับน้องเล็กก็เป็นปัญหาสำคัญ อย่าว่าแต่ให้สมัครเป็นสมาชิกพรรค เวลานี้ขอให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจประกาศให้ชัดจะอยู่กับพรรคเดิมต่อไป ยังไม่กล้าสัญญาเลย