พาราสาวะถี
ยุคนี้ไม่ควรมีใครตกเป็นเหยื่อของการใช้กำลังเพื่อแก้ปัญหาความเห็นต่าง กรณีของ ศรีสุวรรณ จรรยา ซึ่งเดินทางไปแจ้งความเอาผิด “โน้ส” อุดม แต้พานิช
ยุคนี้ไม่ควรมีใครตกเป็นเหยื่อของการใช้กำลังเพื่อแก้ปัญหาความเห็นต่าง กรณีของ ศรีสุวรรณ จรรยา ซึ่งเดินทางไปแจ้งความเอาผิด “โน้ส” อุดม แต้พานิช ที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แล้วถูกชายวัย 62 ปีปรี่เข้าทำร้ายร่างกาย เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีการแบบนี้ ส่วนหนึ่งอาจสะใจที่ได้เห็นภาพแบบนี้ อีกส่วนก็จะโจมตีประณาม ท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นการขยายภาพของกลุ่มคนที่เห็นต่างและยังคงขัดแย้ง แตกแยกกันเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม นี่คือภาพที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอาจต้องการให้เกิดขึ้น เพราะจะเป็นเหตุผลที่ช่วยรองรับว่าเหตุใดตนจึงต้องอยู่ต่อไป ทว่าอีกด้านก็เหมือนเป็นจุดอ่อนที่ผู้คนจะตั้งคำถามกลับว่ากว่า 8 ปีที่ผ่านมา แก้ปัญหาความขัดแย้ง แตกแยกแบบไหน หรือเป็นเจตนาที่จะให้สิ่งนี้คงอยู่ต่อไป เพื่อจะได้อยู่ในอำนาจให้นานที่สุด แต่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคนส่วนใหญ่คงไม่มีใครที่จะยกย่อง สนับสนุน ส่งเสริมให้มีการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา
ในส่วนของคนที่ไปยื่นร้องนั้น สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.เสนอแนะว่า การเป็นนักร้อง มีความรู้ทางกฎหมายทำให้รู้ดีว่า เรื่องไหนมีแง่มุมทางกฎหมายให้ร้อง ต้องร้องต่อใคร และเมื่อร้องจนติดตลาด คน ๆ นั้นอาจมีรายได้จากคนที่มาพึ่งพาบริการร้องของตัวเองได้ แต่อย่าลืมว่าหน่วยที่รับร้องมีภาระยิ่งกว่า เพราะเป็นหน่วยที่ต้องรับเรื่องมาดำเนินการ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูข้อเท็จจริงและแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม มีต้นทุนของราชการในการดำเนินการแต่ละเรื่องไม่น้อย มิฉะนั้นจะถูกกล่าวหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่
ดังนั้น การร้องจึงควรเลือกเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง เรื่องสัพเพเหระที่เพียงสร้างกระแสเป็นข่าวให้แก่ตนเองควรเลิกเสีย แต่คงเป็นเพียงแค่ความเห็นที่ถูกมองข้าม เพราะไม่ใช่แค่คนที่มีอาชีพนักร้องเพียงอย่างเดียว แต่คนที่รับงานร้องเพื่อปกป้องคนในขบวนการสืบทอดอำนาจก็ไม่ได้ลดราวาศอกแต่อย่างใด ยังคงเดินหน้าใช้ช่องทางทางกฎหมายเล่นงานฝ่ายที่เห็นต่าง เพื่ออุ้มสมผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะต่อไป โดยไม่ละอายว่าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือไม่
ประเด็นนี้อย่างที่บอกนอกจากพวกนักร้องที่ทำงานตามหน้าที่แล้ว มันยังทำให้เห็นความแตกต่างในแง่มุมมองทางการเมืองระหว่างพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. กับ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นอย่างดี นั่นคงเป็นเพราะน้องเล็กมีแต่คนรุมเอาใจ ไม่ยอมให้ใครสะเออะมาวิพากษ์วิจารณ์ ต่างกับพี่ใหญ่ที่อยู่บนถนนทางการเมืองมายาวนาน ย่อมเข้าใจธรรมชาติ ความเป็นธรรมดาที่จะถูกพูดถึงไม่ว่าแง่มุมใดก็ตาม การนิ่งเฉยไว้จะเป็นผลดีมากกว่าการไปไล่เอาผิดหรือปิดปากคนเห็นต่าง
คำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ล่าสุดน่าจะช่วยขยายภาพของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้เป็นอย่างดี กับสิ่งที่บอกว่า โรงเรียน (เตรียมทหาร) สอนสุภาพบุรุษ อ่อนนอก แข็งใน แต่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนแข็งนอก อ่อนใน ไม่ค่อยฟังคำสั่งสอนเท่าไหร่ ถ้าเป็นมิติของคนที่ติดตามผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมากว่า 8 ปีย่อมรู้ดีว่า นอกจากไม่ฟังคำสั่งสอนแล้วยังชอบที่จะสอนคนอื่นมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องธรรมะ แต่ส่วนใหญ่คนสอนไม่น่าจะปฏิบัติได้ยิ่งเรื่องการควบคุมอารมณ์
การเมืองเดินทางมาถึงจุดที่เข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ทุกพรรคการเมืองและนักเลือกตั้งต่างขยับเตรียมความพร้อมกันเต็มที่ พรรคฝ่ายค้านน่าจะไม่มีโจทย์ใหญ่และยากเท่ากับซีกกุมอำนาจ ด้วยปัญหาที่รุมเร้าทำให้จับอาการ ความรู้สึกของประชาชนได้เป็นอย่างดีว่าต้องการอะไร อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงหรือไม่ การชูแนวทางแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยจึงไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ ส่วนพรรคก้าวไกลก็ต้องตั้งหลัก แก้โจทย์หารร้อยว่าจะยกนโยบายไหนมาเรียกคะแนนในส่วนของคนที่ไม่เลือกพรรคนายใหญ่
ด้านพรรคร่วมรัฐบาล อาการหนักกว่าเพื่อน คือ พรรคสืบทอดอำนาจ เนื่องจากหนนี้ไม่มีจุดขาย เลือกความสงบจบที่ลุงใช้ไม่ได้อีกแล้ว ความนิยมก็ตกต่ำลงเรื่อย ๆ ข้อเสนอของ วีระกร คำประกอบ ที่จะให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจประกาศความชัดเจนและสมัครเป็นสมาชิกพรรคนั้น เป็นเรื่องของคนที่ต้องการความมั่นใจเท่านั้น แต่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คนเป็นหัวหน้าพรรคต้องการแน่นอน มิเช่นนั้น คงไม่มีคำตอบจากพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. ที่ว่า “ไปถามไอ้วีระกรดู”
รู้กันอยู่แนวคิด ทิศทางทางการเมืองต่างกันอย่างสิ้นเชิง การติดกรอบเวลาเป็นนายกฯ ได้อีกแค่ไม่เกิน 2 ปี มันคือปัญหาใหญ่ที่จะทำให้พรรคขับเคลื่อนนโยบายและจูงใจคนเลือกตั้งได้ยาก ยังจะมาเสนอกันแบบนี้ ที่สำคัญทีมกุนซือต่างมองเห็นตรงกันแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคสืบทอดอำนาจ ต้องมีชื่อพี่ใหญ่ประกบด้วย แต่อีกรายชื่อถ้าไม่ใช่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ก็จะต้องเป็นคนที่สามารถสร้างเรตติ้งให้พรรคได้ จะมาตั้งความหวังแบบเดิมไม่ได้ คิดว่า 250 เสียง ส.ว.จะช่วย ถ้าได้ ส.ส.มาเป็นอันดับ 3 หรือ 4 ทุกอย่างก็จบเห่
ส่วนภูมิใจไทยที่คิดว่าสบายใจหายห่วง มองไปถึงความเป็นพรรคอันดับสองนั้น การขยับของเพื่อไทยที่จะยื่นร้องยุบพรรค โดยชูประเด็นกฎหมายกัญชามาเป็นปัจจัยนั้น ว่ากันว่าเป็นแค่การสับขาหลอกมากกว่า เพราะเรื่องนี้ไม่น่าจะสามารถทำอะไรพรรคของ อนุทิน ชาญวีรกูล ได้ ดังนั้น ตัวชี้วัดสำคัญจึงอยู่ที่ประเด็นซึ่งไม่ได้เปิดเผย แต่อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานให้แน่นหนามากกว่า ถ้าสามารถมัดตัวให้ดิ้นไม่หลุดได้เสี่ยหนูและคณะก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน
กระนั้นก็ตาม ถ้าพิจารณาจากท่าทีของพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างก้าวไกลที่บอกว่าไม่เห็นด้วย และควรปล่อยให้ประชาชนพิพากษามากกว่านั้น ก็พอจะมองออกว่าแนวโน้มของสิ่งที่เป็นข้อกล่าวหานั้น ไม่น่าจะมีน้ำหนักมากพอที่จะนำไปสู่การยุบพรรคได้ แต่การเดินเกมการเมืองในลักษณะนี้โดยคนที่พูดคือ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คงไม่ใช่แค่การขู่เอามันเท่านั้น อย่าลืมเป็นอันขาดการเมืองไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร อาจจะเห็นแต่พวกงูเห่ากินกล้วยที่เฮโลย้ายคอกกันคึกคัก แต่พวกเดียวกันที่หมั่นไส้และรอวันเอาคืนก็มีอยู่ไม่น้อย ที่ฝันหวานกันไว้จะได้ซดเค้กก้อนโตอาจจะกลายเป็นรับประทานแห้วก็ได้