1,600 โดนถล่มทุกที?
ต้องบอกตามตรงว่า “โมนิก้า” เป็นผู้หญิงที่ไม่ชอบใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา และไม่เคยส่งเสริมให้ใช้กำลังเพื่อทำร้ายผู้อื่น
ต้องบอกตามตรงว่า “โมนิก้า” เป็นผู้หญิงที่ไม่ชอบใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา และไม่เคยส่งเสริมให้ใช้กำลังเพื่อทำร้ายผู้อื่น เพราะนั่นเป็นวิธีของพวกกุ๊ยที่ไร้สกุลรุนชาติ จึงไม่ควรส่งเสริมและยกย่องอะไรทั้งสิ้น เพราะมันจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบจากรุ่นสู่รุ่น และประเทศชาติจะไม่มีอะไรดีขึ้นเลยในท้ายที่สุด จึงไม่อยากเห็นแฟนคลับหลงไปกับอารมณ์ความสะใจ เพราะควรใช้ “เหตุและผล” ในการโต้แย้งทางความคิดกันมากกว่านะจ๊ะ
คล้ายกับอาการที่ดัชนีพยายามเทคตัวให้ผ่านแนวต้าน 1,600 จุดในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา แต่ทำได้แค่เพียงประคองตัวปิดที่ระดับ 1,588.72 จุด ลบไป 1.64 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.89 หมื่นล้านบาท ก็เป็นจุดวัดใจสถาบันอีกครั้งว่า เที่ยวนี้จะสาดหุ้นเหมือนรอบก่อนไหม? เพราะนักเล่นสายเทคนิครู้ดีว่า บริเวณนี้คือทุ่งสังหาร! จึงมีเสียงเตือนออกมาเป็นระยะให้เตรียมพร้อมรับแรงกระแทก..แต่ผ่านไปได้ มีเฮอย่างแน่นอนจ้า!
เนื่องจากงบแบงก์ที่ทยอยประกาศออกมาเรื่อย ๆ เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า ผ่านก้นเหวกันมาหมดแล้ว และที่เหลือต่อจากนี้อยู่ที่จะโตขนาดไหน? และเป็นประเด็นที่ทำให้ “โมนิก้า” เชื่ออย่างสนิทใจว่า หุ้นที่ลงมาลึก ๆ น่าเก็บมากเหลือเกิน และเรื่องนี้ก็ได้รับเสียงสนับสนุนจากโบรกเกอร์ที่ชี้ให้เห็นราคาเป้าอยู่สูงกว่าราคาตอนนี้ค่อนข้างมาก จึงเป็นจังหวะของการ ride on fluctuation ไปเลยดีกว่านะคะ
เหมือนกับการเด้งกลับของหุ้น BGRIM หลังลงมาแตะแนวรับ 30 บาทเป็นครั้งที่ 3 ต่อจากนั้นก็เด้งขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว กลายเป็นสถานการณ์ที่ทำให้ “โมนิก้า” สามารถคาดหวังยอดเดิมบริเวณ 36 บาทได้ทันที เพราะมันเป็นสถานการณ์ที่คล้ายกันมาก ๆ จึงอยากให้แฟนคลับประเมินการยืนปิดที่ระดับ 32.50 บาท บวกไป 1 บาท หรือขึ้นไป 3.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 673 ล้านบาท น่าเล่นจริงไหม?..อิอิอิ
ต่อข้อคิดดังกล่าวก็ทำให้ “โมนิก้า” ต้องหันมามองหุ้น PTTGC เพื่อชี้ให้เห็นราคาหุ้นย้อนหลัง 4 ปี ซึ่งเป็นการนับเฉพาะวันสิ้นปีก็จะเห็นว่า ราคาต่ำสุดที่ปรากฏให้เห็นอยู่ที่ 58 บาท และกำไรต่อหุ้นต่ำสุดก็อยู่ที่ 2.59 บาท ขณะที่ครึ่งแรกของปี 65 กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.25 บาท มันทำให้นักเล่นเชื่อไหมว่า กำไรต่อหุ้นปีนี้ก็คงไม่ต่างกันหรือเปล่า? และการที่หุ้นยืนปิดที่ระดับ 42 บาท บวกไป 1 บาท หรือขึ้นไป 2.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 505 ล้านบาท น่าเล่นมากใช่ไหมจ๊ะ..คิดซิ..คิดซิ!
ในเมื่อเล่นหุ้นบนความผันผวนกันทั้งที ก็อยากเม้าท์ถึงหุ้นนิคมฯ อย่าง AMATA เพื่อเป็นทางเลือกให้กับแฟนคลับกันสักหน่อย! เพราะในมุมของการเทรดหุ้นบน PE 9.80 เท่า มันทำให้ราคาปิดที่ระดับ 18.80 บาท บวกไป 0.80 บาท หรือขึ้นไป 1.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 89 ล้านบาท ถูกเกินไป! ผนวกกับการเด้งกลับช่วงหลัง ๆ ก็คาดหวังได้ถึง 20-21 บาท จึงเป็นหุ้นที่เดี๊ยนให้ความสนใจมากเป็นพิเศษเจ้าค่ะ
เช่นเดียวกับในรายของซูเปอร์โกรทอย่างหุ้น LEO ก็เป็นหนึ่งในหุ้นที่ “โมนิก้า” สนใจมากเป็นพิเศษในช่วงที่ผ่านมา เพราะเมื่อดูจากกำไรครึ่งแรกของปี 65 เท่ากับทั้งปี 64 แถมหุ้นยังเทรดบน PE 13 เท่าแบบนี้ มันทำให้เดี๊ยนมองหุ้นตัวนี้น่าเล่นสุด ๆ ผนวกกับหุ้นลงมาเป็นเวลานาน และเริ่มตีตื้นขึ้นอย่างช้า ๆ เลยทำให้การยืนปิดที่ระดับ 13.10 บาท บวกไป 0.20 บาท หรือขึ้นไป 1.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 68 ล้านบาท ดาวไซด์ต่ำสุด ๆ นะตัวเอง
ส่วนประเด็นร้อนที่ “โมนิก้า” ต้องขอเผือกนิดหน่อยเพื่อเป็นกระษัย คงต้องเอ่ยถึง JASIF ซึ่งรายย่อยโหวตคว่ำการเรื่องแก้สัญญาในหัวข้อ 1.2 ซึ่งทำให้ข้อตกไม่ครบตามที่ประกาศไว้แบบนี้ เดี๊ยนฟันธงได้ทันทีทีว่า ADVANC ไม่เอาอย่างแน่นอน เพราะสัญญาเก่ามันเป็นเหมือนสัญญาดูดเลือด ซึ่งจะทำให้ต้นทุนผู้ซื้อพุ่งโดยไม่มีเหตุอันควร ขณะที่ฝั่งซัพพอร์ตเงินทุนอย่างแบงก์ BBL ก็คงไม่ปลื้มกับดีลที่ดันไม่สุด! และทำให้แต่ละฝ่ายแยกย้ายวงกลับบ้านนะจะบอกให้
ตบท้ายกันที่ควันหลงของเฮีย “ทศพร” กันสักหน่อย! เพราะลมปากที่ออกมาจาก “บิ๊กตู่” ก็บอกตรง ๆ ว่า “ลาออก ก็คือ ลาออก” แต่ทำไมทางฝั่ง ปตท. ยังไม่ส่งหนังสือลาออกให้กับ ตลท. เสียที! และมันก็กินเวลานานถึง 8 วันแล้ว “โมนิก้า” ถึงเกิดอาการสงสัยกระบวนการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างแรง แถมข่าวก็ประโคมกันออกมาอย่างโจ๋งครึ่ม แต่ทุกอย่างก็ยังเงียบกริบเหมือนเดิม หรือต้องให้เดี๊ยนแจ้งตำรวจเพื่อช่วยตามหาคนหาย (ครบ 24 ชม.แจ้งได้) ถึงจะเจอเฮียทศพรตัวเป็น ๆ ก็บอกกันมาได้เลย..เดี๊ยนยินดีช่วย เพราะจะได้รู้ว่า เรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่?..อิอิอิ