มติครม. ปลุกยักษ์อสังหาฯ.!
มติครม.ดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่ดีแหละ แต่จะทำได้จริงหรือเปล่า นี่สิโจทย์ยาก เพราะแนวคิดนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดในสมัยลุงตู่นะ มีมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว
มติครม.ช่วงท้าย ๆ อายุไขรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เพิ่งคลอดออกมาสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีหนึ่งเรื่องที่ถูกพูดถึงกันแพร่หลาย คือการปลดล็อกให้ต่างชาติซื้อบ้านและที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ แลกกับเงินลงทุนต้องไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท และนานไม่น้อยกว่า 3 ปี เป้าหมายเพื่อดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพื่อต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจนั่นเอง
โดยจะเปิดกว้างให้ชาวต่างชาติ 4 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ 1) กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง 2) กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ 3) กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และ 4) กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ
แน่นอนว่า จากมติครม.ดังกล่าว มีทั้งเสียงคัดค้านและเสียงสนับสนุน ไอ้ที่ค้านก็มองว่าเป็นการเปิดประตูบ้านให้ต่างชาติเข้ามาแย่งที่ดินคนไทย ส่วนฝ่ายที่หนุนก็มองถึงเม็ดเงินลงทุนที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ…เอาเป็นว่า ใครจะค้านหรือใครจะหนุน จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เป็นเรื่องส่วนบุคคล นานาจิตตัง…
แต่ที่แน่ ๆ คนที่จะได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ คงหนีไม่พ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอสังหาฯ ที่เน้นจับตลาดระดับ บน-กลาง ไม่ว่าจะเป็นบริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH, บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC, บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP, บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI, บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH, บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI, บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI และบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI
ที่จริงอสังหาฯ กลุ่มนี้ถือเป็นหุ้นน้ำดีนะ แต่น่าเสียดายที่ผ่านมาราคาหุ้นนอนแช่แป้งไม่ไปไหน ฉะนั้นการมีมาตรการดังกล่าวออกมา ก็น่าจะช่วยปลุกยักษ์อสังหาฯ กลุ่มนี้ให้มีชีวิตชีวามากขึ้น…ไม่เฉาตายในตลาดหุ้นอีกต่อไป
ส่วนกลุ่มถัดมา ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์เช่นกัน นั่นคือ โรงพยาบาลระดับ High-End อย่างบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS และบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ซึ่งเน้นให้บริการลูกค้าชาวต่างชาติอยู่แล้ว…
อย่าลืมว่าเมื่อต่างชาติเข้ามาซื้อบ้าน ตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย สิ่งที่ตามมา เมื่อเกิดอาการเจ็บป่วย ก็ต้องไปโรงพยาบาล และถ้าให้เดาโรงพยาบาลเป้าหมาย คงหนีไม่พ้นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และโรงพยาบาลในเครือ BDMS หรอก เชื่อสิ..!!
อ้อ…แล้วถ้าจีนมีการเปิดประเทศ ก็น่าจะเป็นกลุ่มหลักที่เข้ามา (เพราะคนจีนชื่นชอบประเทศไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) นั่นจะทำให้บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) หรือ EKH ซึ่งเป็นผู้ให้บริการศูนย์ผู้มีบุตรยาก พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย รวมทั้งผู้ประกอบการกลุ่มโรงเรียนนานาชาติอย่างบริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือ SISB จะได้รับประโยชน์เช่นกัน จากการเข้าเรียนของบุตรหลานชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
ส่วนกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม อย่างบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA และบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ในระยะสั้นจะได้เซ็นติเมนต์เชิงบวกไปกะเค้าด้วย ส่วนระยะยาวต้องดูกันอีกที…
โอเค…มติครม.ดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่ดีแหละ แต่จะทำได้จริงหรือเปล่า..? นี่สิโจทย์ยาก
เพราะแนวคิดนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดในสมัยลุงตู่นะ มีมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว เพียงแต่เงื่อนไขอาจแตกต่างกันไป…
ที่สำคัญถ้าออกมาแล้ว…แต่ไม่ได้ถูกหยิบไปใช้ประโยชน์ ก็สูญเปล่า…จริงมั้ย..!??
เดี๋ยวจะมีคำติฉินนินทาได้ว่า รัฐบาลลุงตู่เป็นแค่เสือกระดาษ…ดีแต่พูดนะจ๊ะ..??
…อิ อิ อิ…