MAKRO กำไรไตรมาส 4 ทำจุดสูงสุด
มีการประเมินกันว่าราคาหุ้นของ MAKRO น่าจะพ้นจุดต่ำสุดแล้ว ภายหลังการปลดล็อกเมื่อผู้บริหารบริษัทได้ชี้แจงต่อนักวิเคราะห์
เส้นทางนักลงทุน
มีการประเมินกันว่าราคาหุ้นของบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO น่าจะพ้นจุดต่ำสุดแล้ว ภายหลังการปลดล็อกเมื่อผู้บริหารบริษัทได้ชี้แจงต่อนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ว่า MAKRO ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับดีลที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือกลุ่มซีพี (CP Group) ยื่นข้อเสนอซื้อธุรกิจและสินทรัพย์ห้างค้าปลีกค้าส่งในอินเดีย คือ Metro ของบริษัท เมโทร แคช แอนด์ แคร์รี
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้ยุติลงเนื่องจากกลุ่มซีพีได้ถอนตัวจากการประมูลห้างค้าส่งชื่อดัง Metro ในประเทศอินเดียดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2565 ซีพีได้เจรจากับ Metro เพื่อขอซื้อกิจการด้วยจำนวนเงิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขนาบคู่มากับ Reliance Retail ค้าปลีกยักษ์ใหญ่อินเดีย ที่ได้ยื่นข้อเสนอซื้อกิจการ Metro เช่นกัน ในมูลค่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หากมองย้อนกลับไปก่อนหน้าที่จะปรากฏข่าวนี้ ราคาหุ้น MAKRO เคยยืนอยู่ที่ 35-37 บาท และถ้ามองยาวออกไปในรอบ 1 ปี ราคาหุ้นเคยขึ้นไปสูงสุดได้ถึง 52.75 บาท แต่ได้อ่อนตัวลงอยู่แถว ๆ 33-34 บาท ดังนั้นเมื่อปรากฏความชัดเจนว่าดีลนี้ล้ม จึงถือเป็นปัจจัยบวกหนุนราคาหุ้น MAKRO เคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น กลับมายืน 34-35 บาทได้
หากพูดถึงภาพรวมของธุรกิจค้าส่งนับว่ายังสดใส ดังนั้น MAKRO ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ จึงยังเห็นการเติบโตที่ดี จากการที่กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าหลักกลับมาเปิดธุรกิจตามปกติ และการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัว ทำให้มีการสั่งซื้อสินค้าจากสาขาของ MAKRO เข้ามาต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มร้านอาหาร โรงแรม ธุรกิจจัดเลี้ยง และสปา เป็นต้น
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) มองภาพรวมไตรมาส 3 ของ MAKRO ว่ากำไรหลักจะอยู่ที่ 1,564 ล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสก่อนและปีก่อน แม้ว่าต้นทุนทางการเงินของโลตัสจะเพิ่มขึ้น แต่การดำเนินงานของธุรกิจค้าส่งยังเป็นไปตามคาด จากการฟื้นตัวของยอดขายกลุ่ม HoReCa และลูกค้าร้านค้าปลีกที่มียอดขายรวมกันคิดเป็น 54% ของยอดขายทั้งหมด การเติบโตของ MAKRO จะมาจากสาขาเดิมเติบโต 11% และยอดขายรวมเติบโต 13% จากปีก่อน
ทั้งนี้ รายได้และค่าใช้จ่ายที่กลับมาเติบโตในอัตราปกติและผลกระทบเชิงบวกจากการรีไฟแนนซ์จะหนุนการฟื้นตัวของกำไรในปี 2566 เป็นต้นไป ขณะที่ในปี 2565 บริษัทรับรู้ค่าใช้จ่ายสูงเป็นครั้งแรกในการรีแบรนด์ จากเทสโก้ เป็น โลตัส ค่าเสื่อมราคาของการลงทุนด้าน IT และดอกเบี้ยจ่ายรวมกันเกือบ 8 พันล้านบาทในปีนี้ แต่ในปีหน้าคาดยอดขายจะปรับตัวขึ้นเร็วกว่าต้นทุนอย่างมาก
ข้อมูลของบล.บัวหลวง บ่งชี้ว่า MAKRO จะรายงานกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 54% ในปี 2566 และ 27% ในปี 2567
หากมองภาพรวมราคาหุ้น MAKRO ปรับตัวลดลงราว ๆ 21% ในปีนี้ ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปี 2566 ที่ 30.5 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 10 ปี ถือว่าราคาได้สะท้อนคาดการณ์กำไรปี 2565 ที่อ่อนแอ และข่าวดีลเกี่ยวกับ Metro อินเดียไปแล้ว
ดังนั้น เชื่อว่าการฟื้นตัวของกำไรสำหรับการดำเนินงานของโลตัส จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนราคาหุ้นของ MAKRO ได้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายพื้นฐาน 42 บาท
โบรกเกอร์อีกราย คือ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า กำไรสุทธิไตรมาส 3 นี้ จะอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท เติบโต 10.2% จากปีก่อน และ 10.5% จากไตรมาสก่อน หลัก ๆ มาจากรายได้ที่สูงขึ้น ทั้งจากสาขาเดิมและสาขาที่เพิ่มขึ้น บวกกับมาร์จิ้นที่ดีขึ้น หลังรับรู้ผลกระทบจากโลตัสเข้ามา
โบรกเกอร์รายนี้มีแนวโน้มปรับประมาณการกำไรในปี 2565-2566 ลง เพราะกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วนราว ๆ 62.2% ของประมาณการกำไรทั้งปีนี้ แต่ยังคงแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากคาดกำไรในไตรมาส 4 ปีนี้ จะขึ้นทำ “จุดสูงสุด” รายปี เป็นการเติบโตทั้งไตรมาสต่อไตรมาส และปีต่อปี
นอกจากนี้ ยังคาดว่ากำไรจะฟื้นตัวเด่นไม่ต่ำกว่า 40% ในปีหน้า ตลอดจน MAKRO ไม่ต้องเข้าร่วมประมูล Metro อินเดีย จึงคลายประเด็นความกังวลก่อนหน้านี้ ให้ราคาเป้าหมาย 43 บาท
มุมมองของโบรกเกอร์สะท้อนมาจากข้อมูลของผู้บริหาร MAKRO ที่ระบุก่อนหน้านี้ว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-สิงหาคมที่ผ่านมา ยอดขายเติบโตแล้ว 10% และในช่วงต้นเดือนกันยายนยังคงเห็นแนวโน้มที่ดีของยอดขายที่มาจากสาขาของ MAKRO เติบโตใกล้เคียง 10%
ขณะที่ ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ หรือในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า คาดว่าจะมีปัจจัยหนุนเข้ามาสนับสนุนยอดขายให้กับธุรกิจค้าส่ง จากบริการทางด้านออนไลน์ที่บริษัทเริ่มเปิดให้บริการไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตามกลยุทธ์การต่อยอดการขายจากร้านสาขา MAKRO ไปยังช่องทางอื่น ๆ เพื่อต่อยอดการเติบโตของยอดขายนอกสาขา
ผลงานของ MAKRO ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาหดตัวลงราว 1% มีรายได้ 229,679.65 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 3,6213.28 ล้านบาท โดยในช่วง 1-2 ปีนี้เป็นช่วงที่บริษัทมีการวางรากฐานในการพัฒนาแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในกลุ่ม เพื่อทำให้สามารถขยายและต่อยอดการให้บริการต่าง ๆ ได้มากกว่าการขายเฉพาะในสาขา และเพิ่มความสะดวกในการให้บริการแก่ลูกค้า รวมถึงสามารถขยายฐานลูกค้าออกไปได้มากขึ้น ทำให้บริษัทยังคงต้องมีการลงทุนด้านระบบและเทคโนโลยีอย่างมาก ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการลงทุนยังอยู่ในระดับสูง การทำกำไรอาจจะยังไม่เห็นผลชัดเจนในช่วง 1-2 ปีนี้
ดังนั้น หาก MAKRO ปลดล็อกการทำกำไรได้สำเร็จ สิ่งที่จะต้องเร่งแก้ไขต่อไปคือ เรื่องการเพิ่มสภาพคล่องของหุ้น หรือฟรีโฟลท (Free Float) ให้เพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 15% จากปัจจุบัน 13.53% (ณ มีนาคม 2565) เพื่อให้หุ้น MAKRO มีสภาพคล่องมากขึ้น และสามารถนำเข้าสู่การคิดคำนวณในดัชนีต่าง ๆ และเป็นบริษัทที่ยั่งยืนต่อไป