พาราสาวะถี

ผิดไปจากที่คาดกันเสียที่ไหน สัปดาห์ก่อนเพิ่งบอกไปเรื่องกลเกมการอยู่ในอำนาจให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ


ผิดไปจากที่คาดกันเสียที่ไหน สัปดาห์ก่อนเพิ่งบอกไปเรื่องกลเกมการอยู่ในอำนาจให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคที่เคยสนับสนุนตัวเองแต่เพียงผู้เดียว ก็หาเหตุให้การเลือกตั้งยืดเยื้อออกไป เพื่อที่ตัวเองจะได้นั่งนายกฯ รักษาการต่อไป ไม่ว่าจะหลังยุบสภาหรืออยู่ครบวาระแล้วมีเหตุให้ไม่สามารถดำเนินการเลือกตั้งได้ อายุการเป็นนายกฯ รักษาการไม่ได้ถูกนับรวมตามมาตรา 158 วรรคสี่ของรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

เรื่องนี้อธิบายชัดและเห็นแนวโน้มของทิศทางที่ขบวนการสืบทอดอำนาจจะงัดออกมาใช้เพื่อไม่ให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่อยู่ในฐานะเสียเปรียบต้องเสียคนในการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้น คำสัมภาษณ์ของ วิษณุ เครืองาม เนติบริกรศรีธนญชัยล่าสุด ต้องตีความกันทุกตัวอักษร ปากก็บอกว่าความเป็นนายกฯ ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจากการตีความของศาลรัฐธรรมนูญชัดเจนชนิดที่ไม่ต้องไปยื่นตีความกันอีก หลังเลือกตั้งปีหน้าถ้ากลับมาก็อยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี เพราะนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้

แม้จะบอกว่าพอถึงปี 2568 ถ้าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยังเป็นนายกฯ อยู่ก็ไม่จำเป็นต้องมีใครไปยื่นร้องอีกแล้ว เพราะคำวินิจฉัยชัดเจน ทว่าก็ยังมีแต่เหมือนพูดเปิดทางหรือโยนหินถามทางไว้ว่า อาจจะมีการร้องกันอีก อันนี้คือตนหาเรื่องพูด เพราะในมาตรา 158 บอกว่า 8 ปี ไม่ได้นับเวลารักษาการ สมมติมีการรักษาการ 5 เดือน 8 เดือน 10 เดือน แต่บางคนอาจบอกว่าต้องออกเลยหากครบ 8 ปี จากที่ศาลบอกให้เริ่มนับ ขณะที่อีกฝ่ายบอกไม่ออก ยังไงก็ต้องอยู่

คงไม่ต้องอธิบายกันอีกว่าสิ่งที่เนติบริกรศรีธนญชัยสื่อสารออกมานั้นหมายความว่าอย่างไร ในเมื่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งยังลูกผีลูกคน รอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถ้าไม่โมฆะการเลือกตั้งก็ดำเนินต่อไปได้ ตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่เกิดจากการยุบสภาหรืออยู่ครบวาระ แต่ถ้ามีการชี้ว่ากฎหมายลูกฉบับนี้โมฆะขึ้นมา นั่นก็จะเข้าเงื่อนไขนายกฯ รักษาการที่ไม่ต้องถูกนับรวมไปในมาตรา 158 วรรคสี่ทันที

ตามที่เคยบอกไปกรณีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มีปัญหา แล้วเกิดการยุบสภาหรืออยู่ครบวาระ ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ก็ไม่สามารถที่จะร่างกฎหมายใหม่ขึ้นมาเพื่อใช้บังคับสำหรับจัดการเลือกตั้งได้ ปลายทางก็หนีไม่พ้นที่จะให้รัฐบาลรักษาการใช้ช่องทางออกพระราชกำหนดเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งนั่นก็ไปเข้าทางของพวกอยากอยู่นาน ในจังหวะที่ความได้เปรียบทางการเมืองเป็นศูนย์ เมื่อมีโอกาสก็ต้องดึงเกมกันให้ถึงที่สุด ด้วยความหวังว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะกลับมาเป็นใจอีกครั้ง

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีบรรดานักกฎหมายขายตัวช่วยตีความเพื่อให้เป็นคุณกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอีกต่างหาก ซึ่งวิษณุก็เห็นด้วยกับแนวทางนี้แม้จะออกตัวว่า “เป็นประเด็นเล็ก ๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ พอแล้วไม่ต้องอยู่ได้แล้ว” แต่อย่าลืมเป็นอันขาดขึ้นชื่อว่าเผด็จการสืบทอดอำนาจอย่างหนา เมื่อถึงเวลาก็จะตีมึนอ้างข้อกฎหมายทุกอย่างคือความชอบธรรมที่ตัวเองสามารถอยู่ต่อได้ โดยมีองค์กรที่ถูกสนตะพายไว้พร้อมที่จะช่วยอยู่ตลอดเวลา

ช่องทางดังว่าที่จะนำไปโยงกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ว่า ความเป็นนายกฯ ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจให้เริ่มตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้ พวกนักกฎหมายขายตัวก็พากันไปตีความต่อว่า ถ้าเช่นนั้น คุณสมบัติความเป็นนายกฯ ตามมาตรา 159 ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ เพราะในมาตราดังกล่าว คนที่เป็นนายกฯ ต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160

เป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็น ส.ส.ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของ ส.ส.ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร การเสนอชื่อตามวรรคหนึ่งต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอย่าลืมว่าการโหวตเลือกนายกฯ เมื่อปี 2562 และในปีหน้าไม่ได้มีแค่ ส.ส.เท่านั้น แต่มี ส.ว.ลากตั้งร่วมโหวตด้วย

หากจะใช้ประเด็นแบบนี้มาเล่นแง่กัน ก็หมายความว่าความเป็นนายกฯ ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจถ้าจะให้สมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ใช่แค่เพียงรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้เท่านั้น แต่ต้องรอให้ ส.ว.ลากตั้งไม่มีอำนาจร่วมโหวตเลือกนายกฯ ก่อน ถึงจะเริ่มนับหนึ่งกันได้ ต้องดูว่าถ้ากล้าคิดและทำจริงตามแนวทางนี้ ประเทศชาติมันจะเดินหน้าต่อไปได้หรือไม่ บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟหรือเปล่า ก็อย่างที่บอกเผด็จการหน้าทนไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว อย่าคิดว่าจะเป็นไปไม่ได้

ไม่ต่างกันกับกรณีความพยายามที่มีคนไปยื่นเรื่องให้ยุบพรรคสืบทอดอำนาจจากการรับเงินบริจาค 3 ล้านบาทของนักธุรกิจเชื้อสายจีนที่ถูกมองว่าเป็น “พวกสีเทา” โดยเรื่องนี้พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ไม่ได้ยี่หระ มิหนำซ้ำ ยังมั่นใจด้วยว่าไม่มีทางถูกยุบแน่นอน ไม่ใช่ว่าเพราะองค์กรตีความสั่งได้ หากแต่ทีมกุนซือของพี่ใหญ่ต่างมองกันว่า เป็นการบริจาคโดยเปิดเผย ตามกฎหมายและระเบียบของ กกต. ใครชอบพรรคไหนก็ไปบริจาคให้พรรคนั้น ซึ่งมีการบริจาคกันทุกพรรค และไม่เกี่ยวกับการได้สัญชาติไทยเพราะนักธุรกิจรายนี้ได้สัญชาติก่อนที่จะมีการตั้งพรรคและพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.จะมาเป็นหัวหน้าพรรคนานแล้ว

ไม่เพียงเท่านั้น ทีมงานตรวจสอบประวัติของพี่ใหญ่ต่างการันตีกันว่า คนที่ถูกกล่าวหานั้น ถูกนำไปเชื่อมโยงกับผับดังทุนจีนแบบมั่วซั่ว โดยมีการเล็งที่จะดำเนินคดีคนที่กล่าวหาทั้งทางแพ่งและอาญาด้วย ถ้าเป็นไปตามนั้น ก็หมายความว่า นอกจากพรรคจะรอดถูกยุบแล้ว อาจจะมีคนดวงซวยที่ดันไปฮุบเอาข้อมูลที่ไม่ได้กรองให้ละเอียดไปกล่าวหาพรรคสืบทอดอำนาจ นี่แหละการเมืองใกล้เข้าโหมดเลือกตั้ง สารพัดวิชาสามานย์จะถูกงัดมาใช้กันถี่ยิบ แต่ก็มีการสะกิดเตือนพวกรับจ้างทำไอโอฝ่ายถือหางเผด็จการสืบทอดอำนาจเหมือนกัน จะเล่นงานใครขอให้แม่นในข้อมูล เนื้อหา เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้กินหญ้า

Back to top button