พาราสาวะถี
การเมืองที่ดูเหมือนว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า หลังประชุมเอเปคน่าจะสามารถฉายภาพให้เห็นว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่
เริ่มเห็นภาพความเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังประชุมเอเปคชัดขึ้นตามลำดับ เมื่อล่าสุด ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจพยักหน้าแทนคำตอบจากคำถามของนักข่าวที่ว่า ทุกอย่างทางการเมืองจะชัดเจนหลังประชุมเอเปคใช่หรือไม่ ท่ามกลางข่าวที่เกิดเป็นกระแสหนาหู และโน้มเอียงไปในทิศทางที่ว่าจะเป็นจริงมากยิ่งขึ้น กับการที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นหัวหน้าพรรค
ไม่ต้องอ้างคุณแหล่งข่าวใด ๆ ทั้งสิ้น แกนนำพรรคสืบทอดอำนาจที่ถือเป็นรัฐมนตรีสายตรงของท่านผู้นำอย่าง สุชาติ ชมกลิ่ม และ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ก็คงจะติดสอยห้อยตามไปด้วย พร้อมกับ ส.ส.อีกจำนวนหนึ่ง นั่นจึงเป็นที่มาของคำตอบด้วยความหงุดหงิดของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เมื่อถูกจี้ถามหากน้องเล็กไม่อยู่กับพรรคโดยมี ส.ส.ของพรรคติดตามไปด้วยจะทำอย่างไร “ไปเลย ไปไหนก็ไป ผมไม่ว่าอะไร ใครอยากไปไหนไป เพราะเป็นเรื่องตัวบุคคล แม้พลเอก ประยุทธ์ (จันทร์โอชา) จะไปก็ไม่ห้าม ผมไม่ห้ามใครทั้งนั้น”
ก่อนที่จะสำทับด้วยว่าใครจะแยกก็แยกไป ไม่เป็นไร แต่ก็ไม่ยอมตอบว่า นี่เป็นแผนแยกกันเดิน รวมกันตีหรือไม่ โดยบอกเพียงว่าไม่รู้ และให้ถามเรื่องอื่น เมื่อเป็นแบบนี้สิ่งที่ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้าว่าหลังประชุมเอเปค 21 พฤศจิกายน จะมีบุคคลระดับวีไอพีซึ่งหนีไม่พ้น คือ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ คงจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงหรือก็คือเรื่องจริงที่รอเพียงแค่เวลาอย่างเป็นทางการเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษาของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ยุครัฐบาล คสช. ก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กตอกย้ำถึงความเป็นไปได้ในเรื่องดังกล่าว อย่างที่เคยบอกมาโดยตลอดทีมกุนซือของพี่น้องแก๊ง 3 ป.นั้น ต่างชิงไหวชิงพริบทางการเมืองกันอยู่ตลอดเวลา เรื่องความสนิทชิดเชื้อที่รู้จักและมีบุญคุณต่อกันมาร่วม 40-50 ปีนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่มิติทางการเมืองต้องย้ำเตือนตัวเองตลอดเวลาไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
ส่วนประเด็นที่รัฐมนตรีสายตรงจะย้ายพรรคในรายของสุชาติก็เด่นชัดอยู่แล้ว หลังจากปีกกล้าขาแข็งก็เกิดการแข็งข้อกับบ้านใหญ่แห่งชลบุรี ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งหน้าหากยังอยู่พรรคเดิมก็จะมีปัญหาในการจัดสรรตัวบุคคลอย่างแน่นอน การออกไปร่วมหัวจมท้ายกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจย่อมน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำทัพล้มคนของบ้านใหญ่ได้ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้พี่ใหญ่กับน้องเล็กคุยกันคนละภาษา
หลังจากที่น้องเล็กประกาศตีจากอย่างเป็นทางการแล้ว คล้อยหลังก็จะเป็นการกำหนดจังหวะก้าวทางการเมืองของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เหมือนกัน โดยจะถูกลูกพรรคชงชื่อให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1 พร้อมมีตัวเลือกที่สองคือ “บิ๊กแป๊ะ” พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา บนความเชื่อของนักการเมืองสายตรงพี่ใหญ่ที่ว่าเลือกตั้งครั้งหน้า ชื่อของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจขายไม่ได้อีกต่อไป จะมีเพียงบางพื้นที่เท่านั้นที่ยังถือหางกันอยู่ แต่ไม่มากพอที่จะก่อมรรคผลทางการเมืองได้
การวางทิศทางการเมืองแบบนี้ ปลายทางจะจับมือจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับใคร หากเข้าสูตรแยกกันตี ก็จะไปดูที่จำนวน ส.ส.ของพรรคน้องเล็กได้มาเท่าไหร่ บวกกับพรรคของพี่ใหญ่ และพรรคร่วมเดิมก็คือภูมิใจไทย โดยการจับมือรอบใหม่นี้จะไม่มีพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในสายตา แต่เล็งไปที่สองพรรคการเมืองใหม่อย่าง ไทยสร้างไทย ของ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และ สร้างอนาคตไทย ของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ บนความเชื่อที่ว่าถ้าตั้งรัฐบาลสำเร็จ สองคนนี้คือดรีมทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดที่จะขอเข้ามาแก้ตัว
อย่างไรก็ตาม โจทย์ทางการเมืองที่วางกันไว้แบบนี้ ต้องให้พรรคที่จะจับมือกันเข้าไปทะลวงพื้นที่ แย่งเก้าอี้ ส.ส.ในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานจากเพื่อไทย สกัดกั้นเป้าหมายแลนด์สไลด์ให้ได้เสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้ อนุทิน ชาญวีรกูล มีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่าหลายพื้นที่ทางภาคอีสานจะสามารถล่มแชมป์เก่าได้ ทั้งจากปัจจัยงูเห่ากินกล้วย พวกย้ายคอก และการนำสารพัดโครงการโดยเฉพาะด้านถนนหนทางลงไปในพื้นที่ภาคอีสานตลอดเวลาเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา
ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่เสี่ยหนูและลิ่วล้อในพรรคเชื่อมั่นคือเสียงจาก อสม.ที่ให้การดูแลกันอย่างเต็มที่ โดยใช้สถานการณ์โควิด-19 เป็นข้ออ้างสำหรับการตั้งงบประมาณเพื่อดูแลคนเหล่านี้เพิ่มเติมเป็นพิเศษ หวังว่าจะซื้อใจกันได้มาก แต่กรณีนี้ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องของมวลชนสนับสนุนนั้นถ้าพิจารณาจากมวลชนจัดตั้งยามที่จะใช้ไปยกป้ายหรือส่งเสียงหนุนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ หรือแม้แต่เสี่ยหนูเองเวลาลงพื้นที่ ยังต้องใช้บริการจากทีมงานบุรีรัมย์เป็นด้านหลักอยู่
นั่นหมายความว่า หลายพื้นที่ก็ยังเจาะไม่เข้า มิหนำซ้ำ ยังมีบางพื้นที่ที่อาจจะกลับลำไม่เปลี่ยนสีเสื้อเอาดื้อ ๆ ส่วนความพยายามไปทำพื้นที่ในภาคอีสานของเจ๊หน่อยกับพรรคไทยสร้างไทย และการลงพื้นที่ของเฮียกวงกับสร้างอนาคตไทยล่าสุด ก็ดูเหมือนว่าแนวคิดทางการเมืองจะสวนทางกับความรู้สึกนึกคิดของคนอีสานไม่น้อย โดยเฉพาะกับการกล่าวหาเรื่องการรับเงินซื้อเสียงที่นอกจากจะไม่ได้คะแนนนิยมแล้ว ยังกลายเป็นการดูถูกคนในพื้นที่และทำให้ตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่ายอีก
การเมืองที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างน่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า หลังประชุมเอเปคน่าจะสามารถฉายภาพให้เห็นว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ เพราะการข่าววงในเล็ดลอดมาว่าเมื่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเลือกที่จะไปต่อ ย่อมงัดกลยุทธ์ที่จะใช้เตะตัดขาบรรดานักเลือกตั้งทั้งหลายมาใช้ เหมือนเมื่อคราวพรรคสืบทอดอำนาจใช้พลังดูดทุกวิถีทางก่อนการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 กรณีของ ชมม์สวัสดิ์ อัศวเหม กับคดีที่เพิ่งถูกชี้มูลน่าจะเป็นตัวอย่าง ยังมีอีกหลายวิชามารที่จะนำมาใช้กัน งานนี้ไม่ใช่แค่ฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น แม้แต่พวกเดียวกันในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่มีข้อยกเว้น