พาราสาวะถีอรชุน
เห็นความเห็น 10 ข้อของคสช.ที่ส่งไปถึงกรธ.เพื่อเสนอแนะเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญแล้ว มีอยู่ 2-3 ประเด็นที่ต้องขีดเส้นใต้ เรื่องแรกคือ ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นจะต้องได้รับการต่อต้านและขจัดไปจากชาติ โดยผู้กระทำความผิดจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักเฉียบขาดและรุนแรง เป็นค่านิยมที่จะต้องถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนและข้าราชการเกิดความสำนึกที่ดีต่อประเทศชาติ
เห็นความเห็น 10 ข้อของคสช.ที่ส่งไปถึงกรธ.เพื่อเสนอแนะเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญแล้ว มีอยู่ 2-3 ประเด็นที่ต้องขีดเส้นใต้ เรื่องแรกคือ ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นจะต้องได้รับการต่อต้านและขจัดไปจากชาติ โดยผู้กระทำความผิดจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักเฉียบขาดและรุนแรง เป็นค่านิยมที่จะต้องถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนและข้าราชการเกิดความสำนึกที่ดีต่อประเทศชาติ
ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น คนส่วนใหญ่คงอยากจะบอกว่าให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จัดการกับกรณีทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์ให้เป็นตัวอย่างเสียก่อน ไม่ต้องโยนให้เป็นภาระของกองทัพบกแต่ฝ่ายเดียว อย่างที่รับรู้กันนี่เป็นโครงการยิ่งใหญ่ที่ยึดโยงกับความจงรักภักดีของประชาชนทั้งประเทศ ยังมีพวกเลวทรามต่ำช้ากล้าที่จะทุจริต สมควรถูกลงโทษอย่างเฉียบขาดและรุนแรงอย่างที่คสช.เสนอ
คงไม่ต้องไปโบ้ยให้เป็นเรื่องของการใช้เงินบริจาคไม่ใช่งบประมาณแผ่นดิน เพราะเอกสารหลักฐานจากที่ประชุมครม.นั้น มันบ่งชี้ชัดเจนว่า มีการใช้งบประมาณในส่วนของกองทัพเป็นการตั้งต้นก่อนที่จะมีการตั้งมูลนิธิแล้วรับบริจาค ซึ่งหมายความว่าในการดำเนินการครั้งนี้มีงบประมาณอยู่สองส่วน แต่ไม่ว่าจะอ้างอย่างไร การที่ พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยกลาโหมและอดีตผบ.ทบ.ยอมรับว่ามีการเรียกค่าหัวคิว เท่านี้ความผิดก็สำเร็จแล้ว
ยิ่งเป็นการเรียกค่าหัวคิวในการหล่อพระบรมรูปบูรพกษัตริย์ทั้ง 7 พระองค์ด้วยแล้ว การนำเงินที่เรียกไปบริจาคแล้วจบกัน จึงไม่ใช่ทางออก อย่างที่บอกไว้ หากกล้าที่จะทุจริตโครงการยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ โครงการอื่นๆ เป็นเรื่องเล็กไปในทันที หลายคนจึงเชื่อมั่นและจับตาว่า พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ.คงจะมีบทสรุปอันเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย ไม่ใช่มวยล้มต้มคนดู
นั่นเป็นแค่เฉพาะเรื่องอุทยานราชภักดิ์ ยังมีกรณีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตำบลละ 5 ล้านบาทอีก จากข้อมูลที่เข้ามาปรากฏว่ามีการสั่งเด้งนายอำเภอไปแล้ว 4 แห่ง จากความไม่ชอบมาพากลในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณดังกล่าว เหล่านี้คือหลักฐานชั้นดีและเป็นบทพิสูจน์ที่ว่า ในยุคที่รัฐบาลมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและประกาศกวาดล้างคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง ยังมีคนกล้าที่เขมือบงบประมาณแผ่นดินกันอีก
แสดงให้เห็นว่า สันดานของคนพวกนี้มันขุดยากจริงๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้คงจะไปโทษว่านักการเมืองชั่วนักการเมืองเลวไม่ได้ เพราะยุคนี้เป็นเรื่องของข้าราชการประจำล้วนๆ ทั้งมีสีและไม่มีสี นั่นเท่ากับเป็นการอธิบายว่า ในยุคของรัฐบาลเลือกตั้งนั้น นักการเมืองที่เข้ามากอบโกยไม่สามารถดำเนินการเพียงลำพังได้ หากไม่มีการชี้ช่องหรือสมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายข้าราชการประจำ
เหมือนที่คณะกรรมาธิการของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศหรือสปท. มีบทสรุปมาเมื่อวันก่อนว่า ปัจจัยที่สำคัญอีกประการของการทุจริตในบ้านเราก็คือ มีช่องโหว่ของกฎหมายที่เปิดทางให้ข้าราชการนำไปใช้ทำมาหากินกันพุงกาง มีทั้งรับกันแบบตรงๆ โต้งๆ และประเภทที่มาทางอ้อมใช้บริษัทของญาติสนิทมิตรสหาย เข้าไปทำมาหากินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ข้อเสนอต่อมาน่าจะทำเอาฝ่ายประชาธิปไตยทั้งหลายหัวร่อไม่ออกกันเลยทีเดียว กับการที่เรียกร้องให้ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะทหาร จะต้องมีสิทธิเสรีภาพในทุกๆ ด้าน เช่นเดียวกับประชาชนโดยทั่วไปไม่ควรถูกจำกัดหรือลิดรอนสิทธิเสรีภาพ แม้กระทั่งสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง ด้วยเหตุแห่งอาชีพในการเป็นข้าราชการทหาร
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นเอาเฉพาะเวลานี้ที่ทหารยึดอำนาจและมีกฎหมายพิเศษอยู่ในมือ ถามว่าสิทธิและเสรีภาพของใครกันแน่ที่ถูกลิดรอน ส่วนการแสดงความเห็นทางการเมืองนั้น หากทหารรายใดอยากจะมีส่วนร่วมที่ผ่านมาเขาก็มีทางเลือกและเป็นหนทางที่ดีกว่าภาคประชาชนเสียด้วยซ้ำ นั่นก็คือ การลาออกมาลงสมัครรับเลือกตั้ง
หากได้รับความไว้วางใจจากประชาชนก็ไปเล่นการเมืองเต็มตัวแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ แต่หากพ่ายแพ้การเลือกตั้งยังสามารถทำเรื่องขอกลับไปรับราชการได้อีก เท่านี้ยังไม่พอใจกันอีกหรือ แล้วประเภทอดีตผู้นำกองทัพที่ไปออกทีวีเรียกร้องให้ผู้นำบางรัฐบาลลาออก เพราะฤทธิ์เดชของม็อบมีเส้น เช่นนั้นยังไม่เรียกว่าสิทธิและเสรีภาพอันไร้ขอบเขตของทหารอีกหรือ
สิ่งที่ชวนให้คิดประการต่อมากับท่าทีเรียกร้องของสิทธิและเสรีภาพ คงเป็นประเด็นที่มีการจับกุมตัวนักเคลื่อนไหวชาวจีนของทางการไทยแล้วรีบส่งตัวกลับไปยังแผ่นดินใหญ่บ้านเกิดทันที โดยที่ วิเวียน ตัน โฆษกประจำภูมิภาคเอเชีย ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR ได้ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า พวกเขาไม่ควรถูกส่งกลับไปยังสถานที่ซึ่งจะทำให้ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย
โดยที่โฆษก UNHCR ยังบอกต่อว่า บุคคลที่ถูกส่งกลับนั้นได้รับการรับรองว่าเป็นผู้ลี้ภัย แปลว่าพวกเขาถูกสัมภาษณ์และที่พวกเขายกมาอ้างว่าถูกคุกคามนั้นเป็นเรื่องจริง ขณะที่ หยาง จง นักกิจกรรมชาวจีนซึ่งเคลื่อนไหวในไทย ระบุว่าการส่งกลับนักกิจกรรมชาวจีนกลับไปประเทศจีน ได้สร้างภาวะความกลัวขึ้นในหมู่นักกิจกรรมและผู้ลี้ภัยชาวจีนที่ยังอยู่ในประเทศไทย
เหตุที่หยิบยกประเด็นนี้มาพูด เพราะบิ๊กตู่เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจการไปร่วมประชุมผู้นำเอเปกที่ประเทศฟิลิปปินส์ โดยได้ไปโชว์วิสัยทัศน์ในเรื่องการทำให้อาเซียนเข้มแข็งและมีประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง ท่ามกลางบรรยากาศที่ไทยยังอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองของรัฐบาลรัฐประหาร และกำลังร่างรัฐธรรมนูญที่ต้องการให้มีระบอบประชาธิปไตยซึ่งไม่ใช่แบบสากลอย่างแน่นอน
จะเห็นได้ชัดเจนว่าในยุครัฐบาลคสช.นั้น ข้อเสนอหรือความเห็นใดๆ ขององคาพยพที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำ 5 สายจะเป็นไปในลักษณะย้อนแย้งในตัวของมันเอง ยกตัวอย่างง่ายๆ กับคำอธิบายของ มีชัย ฤชุพันธุ์ เรื่องการดันทุรังสูตรเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมที่บอกว่าประชาชนคือเสียงสวรรค์ต้องให้ความสำคัญทุกคะแนนเสียง แต่พอเป็นเรื่องที่มาส.ว.กลับไม่อยากรับฟังเสียงสวรรค์จะลากตั้งกันเสียอย่างนั้น แค่นี้ก็เห็นอะไรต่อมิอะไรทะลุปรุโปร่งแล้ว