MORE วิกฤตศรัทธาตลาดทุน..บททดสอบตลท.
ในช่วงที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ เพื่อหาวิธีจัดการกับต้นเพลิง ที่เป็นต้นเหตุแห่งความเสียหายที่เริ่มจะขยายวงกว้าง ที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดหุ้น
ในช่วงที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ เพื่อหาวิธีจัดการกับต้นเพลิง ที่เป็นต้นเหตุแห่งความเสียหายที่เริ่มจะขยายวงกว้าง ที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดหุ้น จากกรณีการผิดนัดชำระค่าซื้อหุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ของบุคคลเพียง 1 ราย ที่มีมูลค่าสูงหลายพันล้านบาท นั้น
ปัจจุบันยังไม่สามารถหาตัวเลขความเสียหายที่ชัดเจนได้ รู้แต่ว่าบุคคลดังกล่าวได้ตั้งออเดอร์ซื้อหุ้น MORE ณ ราคา ATO ของเช้าวันที่ 10 พ.ย. 65 จำนวน 1,500 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 2.90 บาท ซึ่งในช่วงระหว่างวันนั้น บุคคลดังกล่าวได้มีการเทขายหุ้น ออกมาจนทำให้หุ้นร่วงติด floor ส่วนจะขายหุ้นได้จำนวนเท่าไหร่ หรือนำมาหักลบกันเพื่อหายอดสุทธิ (Net Settlement) เพื่อจะได้ไม่ต้องชำระเงินเต็มจำนวนยอดที่ซื้อตอน ATO ไว้ก็ยังเป็นปริศนาอยู่
ความเคลื่อนไหวของทางการที่ออกมาแถลงข่าวของ “ตลาดหลักทรัพย์-สมาคมโบรกเกอร์” ในช่วงหลังเกิดเหตุจนตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องห้ามซื้อขาย และขึ้นเครื่องหมาย SP ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย. จนถึงปัจจุบัน
โดยเนื้อหาที่พยายามเน้นของการแถลงข่าว 2 รอบแรก เป็นการพูดถึงความเชื่อมั่นว่า ไม่น่ามีความกังวลอะไร เพราะมาร์เก็ตแคปของหุ้น MORE อยู่ที่ระดับแค่ 1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ไม่มีผลต่อตลาดเลย ยิ่งเทียบกับ มาร์เก็ตแคปตลาดรวมที่สูงถึง 20 ล้านล้านบาท ยิ่งน่าตกใจมาก (มันเล็กมาก)
คนที่นั่งฟังการแถลงข่าวของทางการ (2 วันแรก) ด้วยเนื้อหาข้างต้น คงจะสะอึก พลางคิดในใจว่า มันไม่น่ากังวลจริงอย่างที่พูดจริง ๆ หรือ..!?
เท่านั้นยังไม่พอ ยิ่งทางการพยายามจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพของขนาดของหุ้น MORE ที่มีมูลค่าการซื้อขายของไม่กี่พันล้านบาท เมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายของตลาดรวม ต่อวันอยู่ที่ แสนล้านบาทนั้น ยิ่งทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า ขนาดของมันเล็กจนไม่มีผลอะไรจริง ๆ หรือ..!?
จนเย็นของวันที่ 17 พ.ย. ทางสำนักงาน ก.ล.ต. ได้แจ้งข้อมูล การตรวจจับ บล.เอเชีย เวลท์ ที่ดึงเงินลูกค้า 157.99 ล้านบาท ไปจ่ายค่าหุ้น MORE ทำให้ผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ และปิดกิจการชั่วคราว
การตรวจพบมูลความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ของ เอเชีย เวลท์ ทำให้เกิดความตื่นตระหนก กับนักลงทุนที่เป็นลูกค้า และไม่เป็นลูกค้าของโบรกเกอร์แห่งนี้
กล่าวคือ มันจะเป็นโดมิโนลามไปยังส่วนอื่น เพราะมันทำให้เกิดการแพนิกในการแห่ถอนเงิน และเหตุการณ์ของสถานะคงค้างในบัญชี block trade ที่จะตามมา
แม้เคส เอเชีย เวลท์ จะเป็นความผิดเฉพาะโบรกเกอร์ จากการดึงเงินของลูกค้าไปจ่ายค่าหุ้นนั้น แต่พอเกิดขึ้นในช่วงจังหวะนี้ก็ถือว่าค่อนข้างเซนซิทีฟ และทำให้นักลงทุนสามารถตีความได้ว่า
1) จากนี้ไป ตลาดหุ้นจะไม่ต่างอะไรกับ ตลาดคริปโตฯ แล้วหรือ..?
2) โบรกเกอร์เล็ก ๆ ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้แบงก์พาณิชย์ หรือกลุ่มทุนใหญ่ จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
พอมา การแถลงข่าวครั้งที่ 3 ยิ่งทำให้เห็นชัดว่า ประเด็นการผิดนัดชำระค่าหุ้น MORE จากโบรกเกอร์สามารถกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้อย่างไม่น่าเชื่อ
และย้อนคำพูดของทางการ ที่เคยกล่าวว่า “ไม่กังวลกับหุ้นตัวเล็ก มาร์เก็ตแคปต่ำ มูลค่าการซื้อขายน้อย เมื่อเทียบกับภาพรวมของทั้งตลาด” ไว้ในการแถลงข่าวครั้งที่ 1-2 ได้เลย
สถานการณ์ของการถูกระงับ การดำเนินธุรกิจชั่วคราว เพราะผิดกฎระเบียบ ของ “เอเชีย เวลท์” นั้น ทำให้นักลงทุนกังวลสถานะของโบรกเกอร์ที่ตนเองใช้บริการอยู่ ว่าจะกลายเป็นภูเขาไฟที่รอระเบิดอยู่ เหมือนเคสของ “เอเชีย เวลท์” หรือไม่?
ในช่วงที่เกิดสถานการณ์ที่เป็นวิกฤตความเชื่อมั่นของตลาดทุนตอนนี้ แต่อาจจะกลายเป็นโอกาสสำหรับ การปรับปรุงและยกความมีมาตรฐาน ของโบรกเกอร์ เพื่อดึงดูดลูกค้า ที่มีความกังวล หรือความไม่เชื่อมั่นของโบรกเกอร์ที่มีปัญหา ให้หันมาใช้บริการของโบรกเกอร์ที่มีมาตรฐานความเป็นมืออาชีพ และความแข็งแรงของเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NCR)
แต่สิ่งที่ทางการควรจะเร่งทำ คือ รีบดับไฟที่เกิดขึ้นเพียงจุดเดียว (เคลียร์ออเดอร์คนซื้อหุ้นตอน ATO 1,500 ล้านหุ้นให้จบ) ก่อนที่จะกลายเป็นไฟลามทุ่ง ไปมากกว่านี้ ส่วนการจะขยายผลไปตามจับใครเพิ่มเติมนั้น เป็นสิ่งที่สามารถทำคู่ขนานกันได้
เพราะการเข้าถึงข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ-สมาคมโบรกเกอร์แบบเชิงลึก ในพฤติกรรมการซื้อขายหุ้น MORE น่าจะทำให้ความกังวลนี้คลี่คลายขึ้น จนสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย ที่มีทั้งนักลงทุนไทยและต่างประเทศ เพราะนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องเคสหุ้ น MORE (10-11 พ.ย.) เป็นต้นมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงนับตั้งแต่วันที่แถลงข่าวสร้างความเชื่อมั่น (14-18 พ.ย.)
จาก 1,637 จุด (ปิดของวันที่ 11 พ.ย.) เหลือ 1,617 จุด ลดลง 20 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นรอบบ้านมีบวกลบสลับ ไม่ได้ย่อตัวแบบบ้านเรา…!!