พาราสาวะถีอรชุน
บริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ความมัวหมองสำหรับโครงการอุทยานราชภักดิ์ภายใต้ถ้อยแถลงของ “บิ๊กหมู” พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. ทำท่าว่าจะจบแบบสวยหรู หากท่านไม่แสดงอาการควันออกหูในช่วงท้าย เมื่อถูกถามเรื่องของการตรวจสอบเอกสารค่าใช้จ่ายทั้งหมด ด้วยคำพูดที่แสนดุดัน “เอาให้ตายไหม จะเอาขนาดประหารชีวิต 7 ชั่วโคตรไหม” ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเกรี้ยวกราดขนาดนั้น แต่จะว่าไปแล้วการกระทำผิดในโครงการที่เป็นเรื่องความจงรักภักดีอย่างนี้ โทษที่น่าจะได้รับก็คงจะเป็นเหมือนที่ท่านว่า
บริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ความมัวหมองสำหรับโครงการอุทยานราชภักดิ์ภายใต้ถ้อยแถลงของ “บิ๊กหมู” พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. ทำท่าว่าจะจบแบบสวยหรู หากท่านไม่แสดงอาการควันออกหูในช่วงท้าย เมื่อถูกถามเรื่องของการตรวจสอบเอกสารค่าใช้จ่ายทั้งหมด ด้วยคำพูดที่แสนดุดัน “เอาให้ตายไหม จะเอาขนาดประหารชีวิต 7 ชั่วโคตรไหม” ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเกรี้ยวกราดขนาดนั้น แต่จะว่าไปแล้วการกระทำผิดในโครงการที่เป็นเรื่องความจงรักภักดีอย่างนี้ โทษที่น่าจะได้รับก็คงจะเป็นเหมือนที่ท่านว่า
แต่ก็น่าแปลกใจเมื่อยืนยันว่าทุกอย่างโปร่งใส ก็ไม่เห็นที่จะต้องโมโหโกรธา นำหลักฐานทั้งหมดออกมา แจกแจงให้ละเอียดยิบ แต่พอมุบมิบแถลงด้วยวาจาแม้จะเป็นไปด้วยท่วงทำนองที่หนักแน่น ดุดันประสาชายชาติทหาร ก็ยากที่จะทำให้คนส่วนใหญ่ทำใจยอมรับได้ ไม่เพียงเท่านั้น ที่ท่านประกาศจะตรวจสอบสื่อด้วยความไม่พอใจที่บอกว่าปีก่อนหน้านั้นเห็นเชียร์กันจังแต่ไหนวันนี้ถึงกลับมาไล่บี้เอาเป็นเอาตาย
นี่คือนิสัยของคนที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่จนเคยตัว ไม่ต้องขู่ขนาดนั้นใครๆ เขาก็กลัวคนมีสีกันทั้งนั้น แต่ท่านคงลืมไปว่า อำนาจที่มีอยู่นั้นมันไม่จีรังยั่งยืน ก็เหมือนกับที่ท่านโยนลูกไปให้เพื่อนรักร่วมรุ่นเตรียมทหาร 14 “บิ๊กโด่ง” พลเอกอุดมเดช สีตบุตร ชี้แจงกรณีเรียกค่าหัวคิวการหล่อพระบรมรูปบูรพกษัตริย์ 7 พระองค์ นั่นปะไร เป็นเรื่องของท่านที่เกษียณพ้นกองทัพไปแล้วไม่เกี่ยวกับผม
หวานอมขมกลืนอยู่กันไปอย่างนี้ แต่บทสรุปที่ออกมาก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะผู้หลักผู้ใหญ่ที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จชี้นำมาเสียขนาดนั้น เงินที่ใช้ในโครงการเป็นเงินบริจาคไม่เกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งที่บิ๊กหมูบอกว่าเงินในส่วนของกองทุนสวัสดิการกองทัพบกเหลือ 33 ล้านบาทและเงินของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ที่ดูแลโดยบิ๊กโด่งเหลือกว่า 120 ล้านบาทนั้น ช่วยขยายความให้ชัดหน่อยได้ไหม มีเงินเข้ามาทำไหร่และใช้อะไรไปบ้าง
ความจริงอีกด้านที่ไม่รู้ว่าขัดแย้งกันเองในข้อมูลหรือเปล่า เพราะวันเดียวกัน “บิ๊กต๊อก” พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรียุติธรรม ที่ท้าทายให้พรรคเพื่อไทยไปหาหลักฐานมาเอาผิดโครงการนี้ให้ได้ แต่กลับยอมรับ “ คณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นโครงการที่ดี จึงอนุมัติเงินให้ไปจำนวนหนึ่ง ขณะที่เงินอีกส่วนหนึ่งกองทัพไปหาเอง” อ้าว!แล้วไหนผบ.ทบ.บอกว่างบดำเนินการทั้งหมดเป็นเงินบริจาค
แสดงว่างบประมาณแผ่นดินที่ครม.อนุมัติไม่ได้ใช้ แล้วอยู่ตรงไหน นี่ต่างหากคือสิ่งที่จะต้องชี้แจง แต่ท่านกลับตบะแตกเสียก่อน คงต้องฝากนักข่าวสายทหารเอาคำพูดของรัฐมนตรียุติธรรมไปถามผบ.ทบ.ต่อ เผื่อจะได้ยินคำพูดที่บอกว่า วันหลังเวลาจะสัมภาษณ์อะไรก็ให้สื่อสารด้วยข้อมูลชุดเดียวกันหน่อย มันจะได้ไม่ย้อนแย้งกันเอง
อีกประการ ไม่แน่ใจว่าเกิดการขัดขากันเองหรือเปล่า จากที่บิ๊กต๊อกตอกย้ำว่า ต้องมีการแยกระหว่างคนทำไม่ดีกับคนมอบเงิน ถ้าใครไปทำผิดก็ลงโทษคนนั้น ไม่ใช่รัฐบาลต้องรับผิดชอบทั้งหมด กองทัพเป็นคนเริ่มโครงการนี้ไม่ใช่คสช.เริ่ม คงต้องดูกันว่าท้ายที่สุดบทสรุปจะจบที่อดีตนายทหารที่กำลังหนีหัวซุกหัวซุนต้องรับผิดชอบไปเพียงลำพัง หรือจะมีบางคนที่ร่วมรัฐบาลโดนหางเลขไปด้วย
เดินทางไปร่วมประชุมผู้นำเอเปคที่ฟิลิปปินส์ เห็นทีมงานโฆษกรัฐบาลกระดี๊กระด๊าเผยแพร่ภาพ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สัมผัสมือกับ บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐอเมริกากันยกใหญ่ เท่านั้นแสดงว่าพี่เบิ้มของโลกยอมรับรัฐบาลทหารของไทยแล้วหรือ ซึ่งความจริงคือไม่ใช่ เพราะหากให้เกียรติผู้นำพญาอินทรีคงไม่เอ่ยปากแสดงความเป็นห่วงเรื่องสิทธิมนุษยชนของคนไทยกับหัวหน้าคสช.
ไม่เพียงเท่านั้น ในจังหวะเดียวกัน เจมส์ คารูโซ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการด้านวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภา สหรัฐฯ ว่า รัฐบาลวอชิงตันมีความกระตือรือร้นที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับไทยให้กลับมาอยู่ในระดับเต็มรูปแบบดังเดิมอีกครั้งทันทีที่กฎของประชาชนได้รับการฟื้นฟู ในฐานะที่ไทยเป็นพันธมิตรเก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐบาลวอชิงตัน
ก่อนที่จะระบุต่อว่า ความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯกับไทยอยู่ในระดับเป็นที่น่าท้อแท้ใจอย่างไม่น่าเชื่อ การที่รัฐบาลทหารซึ่งเข้ามาบริหารประเทศหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ได้เลื่อนระยะเวลาจัดการเลือกตั้งออกไปเป็นช่วงกลางปี 2560 อีกทั้ง กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังขาดความชัดเจนและแน่นอน
ส่งผลให้ระบอบการปกครองของไทยอยู่ในภาวะคตินิยมอำนาจรัฐ จึงเป็นการยากที่สหรัฐฯจะโน้มน้าวให้ทางการไทยเลือกเดินบนเส้นทางอันเด็ดเดี่ยวในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจอนาคตของประเทศได้อย่างเต็มภาคภูมิ สิ่งที่รัฐบาลวอชิงตันสามารถทำได้มากที่สุดในเวลานี้เป็นเพียงการขอให้กระบวนการทุกอย่างดำเนินไปตามกรอบระยะเวลา
ขณะเดียวกันคารูโซยังกล่าวถึงประเด็นที่รัฐบาลไทยหันไปเสริมสร้างความสัมพันธ์กับจีนมากขึ้นอย่างชัดเจนว่า เป็นยุทธวิธีในการใช้อิทธิพลของรัฐบาลปักกิ่งขึ้นมาเป็นเกราะกำบังไม่ให้สหรัฐฯกดดันเรื่องนโยบายปฏิรูปประเทศมากเกินไป นี่คือภาพสะท้อนว่า สิ่งที่รัฐบาลคสช.ขยับนั้นต่างชาติเขารู้ทันทุกกระบวนท่า ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศนั้นจะใช้มาตรการตอบโต้อย่างไรเท่านั้นเอง
ส่วนเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญภายใต้การนำของ มีชัย ฤชุพันธุ์ วันนี้ไม่ต้องเรียกว่าสิ่งที่แถลงและให้สัมภาษณ์กันรายวันเป็นความคืบหน้าของการยกร่าง หากแต่เป็นเรื่องความชัดเจนในสิ่งที่ทุกฝ่ายได้คาดกันไว้ก่อนหน้านี้น่าจะเหมาะสมกว่า เหมือนอย่างที่ จาตุรนต์ ฉายแสง ตั้งคำถามต่อกระบวนการเขียนกฎหมายสูงสุดของประเทศ “จะไม่เหลืออำนาจไว้ให้ประชาชนบ้างเลยหรือ”
ก่อนที่จะตบท้ายอย่างแหลมคม การร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นการออกแบบระบบกติกาของประเทศ แต่ละเรื่องมีหลายส่วนประกอบกันและยังสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน พอผิดไปเรื่องหนึ่งก็อาจทำให้เสียหายกันไปทั้งระบบ และพอผิดหลายเรื่องเข้าก็กลายเป็นผิดทั้งระบบได้ ดังนั้น การอ้างเหตุผลแบบง่ายๆ ตื้นๆ โดยไม่อธิบายถึงความเชื่อมโยงกับเรื่องสำคัญอื่นๆ จึงใช้ไม่ได้สำหรับการร่างรัฐธรรมนูญ