ตลาดหุ้นพักตัว ขาดปัจจัยกระตุ้นลงทุน

InnovestX มองว่าภาพตลาดการเงินมีความขัดแย้งกันมากขึ้น โดยทิศทางตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอลง


InnovestX มองว่าภาพตลาดการเงินมีความขัดแย้งกันมากขึ้น โดยทิศทางตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอลง ทำให้ Fed ส่งสัญญาณเริ่มลดระดับความแรงของการขึ้นของดอกเบี้ยลงแต่ตลาดพันธบัตรกลับกังวลในเรื่องความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น เห็นจาก IYC ที่รุนแรงมากขึ้นถึงกว่า 70 bps ขณะที่ราคาน้ำมัน WTI ปรับลดลงมาอยู่ระดับต่ำกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

โดย InnovestX มองว่าประเด็นสำคัญของการที่ส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรหดตัวรุนแรงเป็นเพราะผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีที่อยู่ระดับต่ำ จากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะต่อไปที่ลดลง แต่ดอกเบี้ยพันธบัตร 2 ปีไม่สามารถลดลงได้มาก เนื่องจากทิศทางดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นขาขึ้น

ภาพเช่นนี้จะทำให้ภาวะ Inverted Yield Curve รุนแรงขึ้น ทำให้ตลาดกังวลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม InnovestX มองว่า ณ ปัจจุบัน Fed จะยังให้ความสำคัญกับการดูแลเงินเฟ้อให้กลับลงไปอยู่ในกรอบเป้าหมายในระยะต่อไป ทำให้จะยังคงใช้ดอกเบี้ยนโยบายในการดูแลเงินเฟ้อ ทำให้ส่วนต่างจะยังคงอยู่ในระดับสูงจนกว่าที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลงในระยะต่อไปเมื่อความเสี่ยงเงินเฟ้อลดลง

ในส่วนของตลาดหุ้นไทย InnovestX มองว่า ตลาดกำลังปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่ โดยการลงทุนจะกลับมาสู่ปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น โดยนักลงทุนจะลดความกังวลในการขึ้นดอกเบี้ยลง และหันมามุ่งเน้นในสินทรัพย์/ตลาดที่ยังมีความแข็งแกร่งและต้านทานการขึ้นดอกเบี้ย และการชะลอลงของเศรษฐกิจได้ แต่ยังคงต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดีในช่วงสั้นคาด SET Index ยังอยู่ในช่วงพักตัว หลังตลาดขาดปัจจัยบวกใหม่ ๆ เข้ามาช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำเป็น Selective Buy โดยเน้นรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้

  1. หุ้นที่คาดโมเมนตัมกำไรไตรมาส 4/65 เติบโตแข็งแกร่งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน เลือก BBL, GULF, MAKRO, CRC, SPALI, AOT
  2. หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์จากเทศกาลฟุตบอลโลก (เริ่ม 20 พ.ย.-18 ธ.ค. 65) และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เลือก CPALL, CENTEL, MINT

ขณะที่ช่วงสั้นยังคงแนะนำให้เพิ่มความระมัดระวัง หรือ หลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อน สำหรับหุ้นที่มีปัจจัยเสี่ยงกดดันผลประกอบการ ดังนี้

  1. หุ้นที่คาดถูกนำออก SET50 ซึ่งจะประกาศ 16 ธ.ค. 65 และมีผลบังคับใช้ในครึ่งแรกปี 66 อาทิ BLA, IRPC, KCE SAWAD (SET100 ที่คาดถูกนำออก MAJOR, STEC, SUPER, SYNEX, TASCO, TTA)

2.หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคาดได้รับผลกระทบจากบาทแข็งค่าและผลประกอบการหุ้นเทคโนโลยีของโลกมีแนวโน้มอ่อนแอต่อเนื่องในไตรมาส 4/65

3.หุ้นเดินเรือ ซึ่งคาดได้รับผลกระทบจากอุปทานเรือใหม่ที่เข้ามาและอุปสงค์การขนส่งสินค้าที่อ่อนแอตามการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก

สัญญาณดอกเบี้ยที่ยังปรับขึ้นแม้เงินเฟ้อเริ่มชะลอลง ทำให้ Inverted Yield Curve รุนแรงขึ้น

Back to top button