ตลาดหุ้นปี’59ลูบคมตลาดทุน

ช่วงนี้นักวิเคราะห์ต่างเริ่มออกมามองทิศทางตลาดหุ้นปี 2559 กันแล้ว


ธนะชัย ณ นคร

 

ช่วงนี้นักวิเคราะห์ต่างเริ่มออกมามองทิศทางตลาดหุ้นปี 2559 กันแล้ว

เป้าดัชนีที่มีการมองกันไว้คือ 1,550-1,600 จุด

ส่วนแนวโน้มสิ้นปี 2558 ก็คาดการณ์กันไว้ว่า หากปิดได้ซัก 1,450 จุด ก็สวยแล้วล่ะ

เพราะในช่วงนี้ต่างชาติยังขายสนุกสนาน  ตัวเลขถึงวันศุกร์ที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา ขายไปกว่า 1.50 แสนล้านบาท ทำให้สัดส่วนนักลงทุนต่างชาติเหลืออยู่ประมาณ 32% มูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization)

เม็ดเงินที่จะเข้ามาช่วยดันดัชนีในปีนี้ ก็จะมาจากแรงซื้อของกองทุนแอลทีเอฟ และอาร์เอ็มเอฟ

มีการคาดกันว่า น่าจะเข้ามาราว 3-4 หมื่นล้านบาท

หุ้นที่จะซื้อ ก็จะอยู่ในกลุ่มบิ๊กแคป ราคาลงมาต่ำกว่าพื้นฐานค่อนข้างมาก ทั้งในกลุ่มธนาคาร พลังงาน

อย่างว่าแหละครับ ทั้ง 2 กองทุน เขาซื้อถือยาว คือ เป็นการลงทุนระยะยาว ยังไงอีกซัก 3-5 ปีข้างหน้า ราคาหุ้นที่ซื้อไว้ก็น่าจะขยับขึ้นไปได้

แล้วหุ้นที่เข้ามาช่วยดันดัชนีในปี 2559 ล่ะ?

กลุ่มที่จะเข้ามาช่วยดันดัชนี เท่าที่รวบรวมข้อมูลมา เช่น กลุ่มสื่อสาร กลุ่มการเงิน กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มสุขภาพ

และก็ยังมีกลุ่มที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากโครงการลงทุนภาครัฐ เช่น กลุ่มรับเหมา กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มอุปโภคบริโภค

นักวิเคราะห์ต่างมองทิศทางตลาดหุ้นจะออกมาดีกว่าปี 2558

ปัจจัยแรกมาจากเรื่อง การเร่งการลงทุนภาครัฐ เช่น PPP Fast track ที่เข้ามาเร่งรัดให้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านการขนส่งสาธารณะ ทั้งรถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ ให้ดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น

ล่าสุด บรรดารถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ก็ถูกขีดเส้นว่า จะต้องประมูลให้แล้วเสร็จในช่วงครึ่งแรก ปี 2559

และน่าจะเริ่มตอกเสาเข็มในช่วงครึ่งปีหลังได้

ส่วนหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวแม้จะมีปัจจัยลบเกี่ยวกับการก่อการร้าย

แต่บรรดานักวิเคราะห์ต่างก็มองว่า จะมีผลกระทบระยะสั้น คือ คนจะตกใจเพียงแค่ 2-3 วัน

หลังจากนั้นก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

รวมถึงภาวะตลาดหุ้นด้วย เช่น ล่าสุด เหตุการณ์ความรุนแรงที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งตลาดหุ้นก็ลงเพราะสาเหตุดังกล่าวเพียงแค่ 1 วัน ส่วนวันถัดมามีบางตลาดหุ้นยังลงอยู่ เพราะมาจากปัจจัยอื่นๆ

มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องดอกเบี้ยที่จะกลับมาเป็นขาขึ้น

เพราะคุณบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแบงก์ทีเอ็มบี และประธานสมาคมธนาคารไทย มองไว้ว่า ดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นมาอยู่ที่ 2.00% จากปัจจุบัน 1.50%

หากดอกเบี้ยขึ้นก็จะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มธนาคาร

นั่นเพราะจะได้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างเงินฝากและเงินกู้กว้างขึ้นไปอีก

ส่วนปัจจัยลบ จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เช่น บล.โนมูระ พัฒนสินฯ มองว่า การปรับขึ้น 0.50% มาที่ 2.00% ไม่ได้ส่งผลกระทบเท่าไหร่

พอฟังแบบนี้ก็พอเบาใจได้บ้าง

ประเด็นเรื่องแรงขายของนักลงทุนต่างชาติก็ถูกพูดถึงมากเช่นในปี 2559

ในส่วนนี้ นักวิเคราะห์หลายคน ก็ให้ข้อมูลมาก่อนหน้าแล้วครับ

อย่างเงินที่เข้ามาจากมาตรการ QE กว่า 2.6 แสนบาท บวกกับ Capital Gain เข้าไปด้วย ก็ประมาณ 3.5-3.8 แสนล้านบาท ผ่านมาถึงตรงนี้ เงินออกไปหมดแล้ว

ปี 2556 ออกไป 1.94 แสนล้านบาท ปี 2557 ออกไปอีก 4.5 หมื่นล้านบาท

และนับจากต้นปี 2558 มาถึงวันศุกร์ที่ 20 พ.ย. ก็ออกไปประมาณ 1.50 แสนล้านบาท

เมื่อรวมกันแล้ว ก็ประมาณ 3.8-3.9 แสนล้านบาท

หากปีหน้าจะมีเงินออกไปอีก ก็ไม่รู้ว่าจะนำหุ้นตรงไหนมาขาย เพราะที่เหลือนั้น ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนระยะยาว หรือเม็ดเงินที่ต่างประเทศเข้ามาลงทุนแบบเป็นเจ้าของบริษัท หรือถือหุ้นใหญ่

บล.ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) ที่มีสัดส่วนพอร์ตเทรดหุ้นของนักลงทุนต่างชาติกว่า 97% ก็บอกเช่นกันว่า ต่างชาติยังสนใจลงทุนหุ้นในประเทศไทย

หุ้นหลายตัวราคาไม่แพง และจ่ายเงินปันผลดี

ฟังดูแล้ว ก็น่าจะมีข่าวดีสำหรับหุ้นไทยในปีหน้าว่าต่างชาติอาจจะกลับเข้ามา

 

 

 

Back to top button