พาราสาวะถี
เข้าข่ายนายไม่ได้ว่าขี้ข้าพลอยไปเสียฉิบ ปม ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคสืบทอดอำนาจ ทำปฏิทินปีใหม่คู่ผู้นำเผด็จการ พร้อมประทับตราโลโก้พรรคใหม่
เข้าข่ายนายไม่ได้ว่าขี้ข้าพลอยไปเสียฉิบ ปม สายัณห์ ยุติธรรม ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคสืบทอดอำนาจ ทำปฏิทินปีใหม่คู่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ พร้อมประทับตราโลโก้พรรคใหม่รวมไทยสร้างชาติเรียบร้อย งานนี้รีบแก้ต่างกันพัลวัน คนที่ทำอ้างว่าแค่ทำกราฟิกไว้โพสต์แชร์ในกลุ่มไลน์ไม่ได้ทำเป็นปฏิทิน แต่รูปดันหลุดเสียก่อน ก็ว่ากันไป ทั้งหมดอยู่ที่ กกต.จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร ฝ่ายผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจรีบปัดทันควันไม่รู้ไม่เห็น
วลีเด็ดที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจบอกกับนักข่าวต่อประเด็นนี้ก็คือ “ฉันไม่ได้ทำฉันไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวแก้ไขได้ ก็แล้วแต่ ถ้าเราไม่รู้เรื่อง มันก็จะมาโทษเราไม่ได้หรอก” นี่แหละผลพวงจากพวกสอพลอที่จะนำความซวยมาให้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กรณีดังกล่าว สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.ได้ให้ความรู้ไว้ว่า กรณีทำปฏิทินแล้วแจก จะเข้าข่ายความผิดมาตรา 73(1) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.คือ ให้ทรัพย์สินอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด
ส่วนกรณีรูปผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคหรือตอบรับการทาบทามเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค เข้าข่ายความผิด มาตรา 73(5) กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ฐานหลอกลวง จูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ขณะที่การใช้ข้อความ สัญลักษณ์ของพรรคโดยมิชอบ เข้าข่ายความผิดมาตรา 32 กฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง ห้ามผู้ใดใช้ชื่อ ภาพเครื่องหมาย หรือถ้อยคำที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นพรรคการเมือง
ความผิดกรณีแจกปฏิทิน การใช้รูปโดยที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค โทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี หากกรรมการบริหารรู้เห็นเป็นใจ โทษทางอาญาถึงกรรมการบริหารด้วย เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตลอดชีวิต และให้ถือเป็นเหตุที่จะยุบพรรคด้วย ตามมาตรา 158 และ 159 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ส่วนความผิดจากการใช้ข้อความ สัญลักษณ์พรรค จำคุก 1 ปี หรือปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 110 กฎหมายพรรคการเมือง
ด้วยเหตุที่มีโทษและข้อกำหนดที่ชัดเจนเช่นนี้เอง มันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ อิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.สั่งการให้ทางสำนักงาน กกต.ดำเนินการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว เพราะกรณีนี้ตามข้อกฎหมายระบุไว้ชัด กกต.ทราบเรื่องเป็นความปรากฏต่อสาธารณะ แล้วไม่ดำเนินการใด ๆ จะเข้าข่ายมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทันที ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่เต็มไปด้วยความผันผวนแนวโน้มจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ถ้ารู้ทิศทางลมแล้วเปลี่ยนแปลงโดยเร็วความซวยก็จะไม่มาถึงตัว
อย่างไรก็ตาม เคราะห์กรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ของ 7 เสือ กกต.ที่ยังต้องรอลุ้นกันถึงศาลฎีกา คือ ปมที่ล่าสุด ศาลอุทธรณ์ภาค 5 อ่านคำพิพากษาคดี กกต.อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น พิพากษาให้ กกต.ต้องชดใช้เงิน 70 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยเพื่อชดใช้ค่าเสียหายกรณีให้ใบส้มแก่ สุรพล เกียรติไชยากร ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ เขต 8 พรรคเพื่อไทย โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ลดค่าเสียหายจาก 70 ล้านบาท เหลือ 56.7 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย
การคิดดอกเบี้ยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2562 ในอัตราร้อยละ 7.5 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และจากวันที่ 11 เมษายน 2564 จนถึงปัจจุบัน ในอัตราร้อยละ 5 ดังนั้น เงินต้น 56.7 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยจะเป็นเงินประมาณ 62 ล้านบาท ฝ่าย กกต.ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการสู้ต่อในชั้นฎีกา แต่การฎีกาในคดีแพ่ง ปัจจุบัน ผู้จะยื่นฎีกาต้องเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องวินิจฉัย ซึ่งศาลฎีกาจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะให้ฎีกาได้หรือไม่ หากไม่อนุญาต ให้ถือว่าคำพิพากษาอุทธรณ์ถือเป็นที่สุด
คำถามที่ตามมาคือ หาก กกต.จะต้องจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวจริง ใครควรจะเป็นผู้รับผิดชอบ จะอ้างว่า กกต.วินิจฉัยไปตามตัวบทกฎหมาย ดังนั้น ต้องใช้เงินภาษีของประชาชนจ่าย แต่กรณีนี้เป็นความผิดพลาดในคำวินิจฉัยของ กกต. สมควรที่ 7 เสือจะต้องหารกันจ่ายเพื่อแสดงสปิริตในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นหรือไม่ หรือเลือกที่จะโยนให้เป็นความผิดของฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้ชงข้อมูลให้พิจารณา อย่างไรก็ตาม ชวนให้เกิดคำถามว่านี่หรือคือบุคคลที่ถูกคัดมาแล้วด้วยการกำหนดคุณสมบัติขั้นเทพของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
ต้องยอมรับความจริงกันว่าตลอดระยะเวลาของการทำหน้าที่ในการบริหารจัดการเลือกตั้งโดย กกต.ชุดนี้มีปัญหามาโดยตลอด นับตั้งแต่การแบ่งเขตเลือกตั้ง จนกระทั่งการตีความวิธีคิดคำนวณ ส.ส.ปาร์ติ้ลิสต์จนเกิดเป็น ส.ส.เอื้ออาทร ส.ส.ปัดเศษ รวมไปถึงเสียงวิจารณ์เรื่องการเลือกปฏิบัติในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนต่อนักการเมืองและพรรคการเมือง โดยเฉพาะกรณีที่เป็นความผิดเดียวกัน หรือว่าผลแห่งกรรมมันกำลังตามเล่นงานคนที่ทำตัวไม่เป็นอิสระให้สมกับองค์กรที่ตัวเองอาสาเข้ามาทำงาน
กับการเลือกตั้งครั้งใหม่หลังร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับที่นายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ลงมา สิ่งที่บรรดานักเลือกตั้งและพรรคการเมืองต่างจับตาดูความโปร่งใสของ กกต.ก็คือ การแบ่งเขตเลือกตั้ง เพราะมีบทเรียนมาแล้วจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา จากปม “ค่าโง่ใบส้ม” ก็น่าจะทำให้มีความรอบคอบ รัดกุมกันมากขึ้น มากไปกว่านั้นหากทำกันแบบงุบงิบ ที่คิดว่าเป็นความลับจะปิดไม่มิดอีกต่อไป ข้อมูลพร้อมที่จะรั่วไหลได้อยู่ตลอดเวลา ประเด็นนี้แม้แต่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็หงุดหงิดหัวใจเป็นที่สุด
อย่าลืมว่าตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมานั้น หลายเรื่องราวมันถูกกดทับด้วยเล่ห์กลของขบวนการสืบทอดอำนาจ ประกอบกับผลประโยชน์ถูกจัดสรรกันลงตัวทุกอย่างจึงถูกปิดมิดชิด แต่วันนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป เห็นได้จากปมการไปกินข้าวกับ 40 ส.ส.ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยืนกรานเสียงแข็งไม่เคยไปกินกับใครทั้งนั้น ทั้งที่มีรูปภาพเป็นหลักฐานชัดเจน การติ๊ดชึ่งทางการเมืองถ้าไม่ใช่พวกเขี้ยวลากดินมันยากที่คนจะเชื่อ ยิ่งคนใฝ่ธรรมะยึดหลักศีลธรรมแบบผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจการพูดปดเพื่อหลอกนักข่าวมันจึงไม่เนียน สิ่งที่ทำได้คือกระทืบเท้าขู่แยกเขี้ยวใส่เพื่อไม่ให้ซักต่อก็เท่านั้น