พาราสาวะถี
เงื้อง่าอยู่นาน ที่สุดผู้นำเผด็จการก็ได้ฤกษ์เปิดปากพูดถึงอนาคตทางการเมืองให้มันชัดเจนเสียที จะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติแน่นอน
เงื้อง่าอยู่นาน ที่สุดผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ได้ฤกษ์เปิดปากพูดถึงอนาคตทางการเมืองให้มันชัดเจนเสียทีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติแน่นอน เพราะพรรคชงเงื่อนไขให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงหนึ่งเดียวของพรรคเท่านั้น ความจริงเรื่องนี้ไม่ต้องพูดหรือบอกให้มันกลายเป็นประเด็นที่จะทำให้พรรคเสียหายก็ได้ แต่ประสาจิ๊กโก๋การเมืองทั้งหลาย ไม่ใช่ประเด็นสำคัญยังไงคงไม่มีใครจะไปยื่นร้องให้ยุบพรรคที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะไปสังกัดโทษฐานครอบงำ
เพราะหลังจากที่รู้ตัวว่าพลั้งปากไปแล้ว ก็มีการให้สัมภาษณ์ใหม่แก้ไขเป็นว่ากระบวนการทั้งหมดอยู่ที่ขั้นตอนของพรรค เมื่อตนไปสมัครเป็นสมาชิกแล้วจะได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของที่ประชุมพรรค เป็นธรรมดาของคนที่ไม่ได้เล่นการเมืองเต็มตัว แม้ปากจะบอกว่าทุกอย่างว่ากันตามกฎหมาย แต่ไม่ได้แม่นในข้อกฎหมาย ที่ผ่านมากฎหมายที่มีก็ไม่สามารถนำไปใช้กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ เลยทำให้เกิดการพูดเหมือนไม่รู้กฎหมายได้
เมื่อประกาศความชัดเจนมาอย่างนี้ เรื่องที่พรรคคู่แข่งทั้งหลายจะหวั่นไหวคงไม่มี สิ่งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจบอกมาชัดเจนใน 2 ประเด็น คือ เป็นสมาชิกพรรคและแคนดิเดตนายกฯ แต่ไม่มีใครถามว่าแล้วจะลงสมัคร ส.ส.ด้วยหรือไม่เพื่อจะได้สง่างามหากได้กลับมาเป็นนายกฯ อีก 2 ปีที่เหลือ ความจริงหากเชื่อมั่นในคะแนนนิยมว่ายังมีมากพอการลงสมัครในแบบปาร์ตี้ลิสต์เป็นบัญชีรายชื่ออันดับ 1 ของพรรคยังไงก็ได้เป็น ส.ส.แน่นอนอยู่แล้ว
คำถามที่ตามมาคือ จะกล้ามากพอขนาดนั้นหรือไม่ เพราะโดยปกติเวลามีกระทู้ถามสดในประเด็นร้อนก็ไม่เคยไปตอบคำถามของที่ประชุมอยู่แล้ว หากลงสมัคร ส.ส.แล้วได้เป็นขึ้นมา การทำงานในสภาฯ จะต้องมีเวลาให้อย่างเต็มที่ โดยบุคลิกที่ผ่านมาก็เห็นอยู่แล้วว่าไม่ได้เป็นคนที่ยอมรับความเห็นของคนอื่น จะทนกับแรงเสียดทานในสภาที่มีการประชดประชัน ส่อเสียดกันอยู่ตลอดเวลาได้หรือไม่ ตรงนี้คงต้องชั่งใจกันอีกกระทอก ด้วยเกรงกันว่าถ้ามีหัวโขน ส.ส.จะไปเสียผู้เสียคนในสภาเอาง่าย ๆ
ส่วนการที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ยืนยันว่าจะอยู่ครบเทอมหรือไม่ เป็นสัญญาณชัดว่ายังไงเสียต้องยุบสภากันแน่ ขอเพียงแค่มีเวลาจัดทัพให้พร้อม สิ่งสำคัญเวลานี้คือ คำนวณตัวเลข ส.ส.ที่คาดว่าจะได้รับ นับจำนวน ส.ส.ที่จะย้ายคอกมาร่วมงานด้วย มีมากพอที่จะการันตีว่าพรรคจะได้ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 25 ที่นั่งเพื่อสิทธิ์ในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งโหมกระแสแสดงผลงานหวังคะแนนนิยมกระเตื้องขึ้นมา โดยที่ตัวผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเชื่อมั่นว่ายังมีคนรักมากกว่าเกลียดหรือเบื่อหน่าย
นั่นอาจเป็นเพราะบรรดาลิ่วล้อทั้งหลาย ต่างรายงานถึงเสียงตอบรับไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้บอกว่า การทำโพลสอบถามความเห็นนั้นเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายกลุ่มใดบ้าง หากเป็นพวกที่หลับหูหลับตาเชียร์ก็จะได้ผลที่ไม่สอดคล้องกัน ประสาคนที่ไม่ฟังสิ่งที่เป็นเรื่องแสลงหูแสลงใจ การได้ยินได้ฟังอะไรในแง่มุมที่เป็นบวกจากพวกสอพลอก็ถือว่ามากพอที่จะทำให้ตัดสินใจได้ ขณะที่อีกด้านก็มีการมองว่าตัวช่วยที่ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเชื่อมั่นคือ การมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ
เป็นมาทุกยุคทุกสมัยที่ว่าใครมีอำนาจย่อมกุมความได้เปรียบทางการเมือง โดยเฉพาะช่วงของการเลือกตั้ง ยิ่งองคาพยพที่สร้างขึ้นมาของขบวนการสืบทอดอำนาจเอื้อต่อการที่จะหลับตาข้างหนึ่งเสียแล้ว มันจึงทำให้มองเห็นช่องตรงนั้น แม้จะมีคำเตือนจาก วิษณุ เครืองาม ว่า เมื่อประกาศเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้วต้องระวังการใช้ทรัพยากรของรัฐ และการหาเสียงในเวลาราชการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นกระพี้ ทั้งหมดมันอยู่ที่วิธีการปฏิบัติของบรรดาข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐทั้งหลายวางตัวเป็นกลางกันจริงหรือไม่
การจะใช้กลไกดังว่าอาจได้ผลเต็มร้อยในช่วงที่อำนาจเผด็จการสืบทอดอำนาจยังมีอิทธิพลอยู่ แต่การเลือกตั้งครั้งหน้า อย่าลืมว่าไม่ใช่เพียงแค่จะห้ำหั่นกับฝ่ายตรงข้ามที่ยืนอยู่คนละขั้วกันมาโดยตลอดเท่านั้น หากแต่ยังต้องโรมรันพันตูกับคนและพรรคที่เคยอยู่ข้างเดียวกันมาก่อน ดังนั้น จึงเปรียบเสมือนไก่เห็นตีนงู ถ้าไปเตะตัดขากันก่อนก็มีโอกาสที่จะเกิดการแฉพวกเดียวกันได้ เว้นเสียแต่ว่า ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมองทะลุแล้วว่า เลือกตั้งหนนี้มีแต่พวกที่เป็นศัตรูจึงต้องห้ำหั่นกันให้หายนะไปข้าง
ความจริงก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะนับถึงวันที่กล้าประกาศจะเป็นนักการเมืองเต็มตัว ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ยังไม่แน่ใจเสียด้วยซ้ำไปว่า พรรคที่ร่วมรัฐบาลกันอยู่เวลานี้ยังคงจะเป็นพันธมิตรกันเหมือนเดิมและพร้อมที่หนุนให้ตัวเองกลับมาเป็นนายกฯ อีกหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่าทำให้ถือไพ่เหนือกว่าคือเสียง 250 ส.ว.ลากตั้ง ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยังคงมั่นใจว่ายังไงก็จะสนับสนุนให้ได้กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกคำรบแน่
เอาแค่สองพรรคร่วมรัฐบาล ย้ำอีกหนว่า อนุทิน ชาญวีรกูล วันนี้มองไปถึงการเป็นนายกฯ คนที่ 30 กันแล้ว ด้วยการระดมสรรพกำลังที่ว่ากันว่า ไม่มีการเลือกตั้งครั้งไหนที่พร้อมเต็มที่เท่ากับการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นนี้อีกแล้วสำหรับภูมิใจไทย เมื่อเป็นเช่นนั้นหากจะจับมือกันเหมือนเดิมผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะต้องเป็นฝ่ายรับเงื่อนไขจากพรรคแกนนำไม่ใช่เป็นผู้ยื่นข้อเสนอแล้วให้ทุกคนต้องทำตาม ถ้ายอมรับความจริงตรงนี้ไม่ได้ก็ร่วมงานกันลำบาก
ฟากพรรคสืบทอดอำนาจการประกาศชูพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียว แม้จะไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่หากจะต้องไปจับมือกับพรรคอื่นเพื่อตั้งรัฐบาล แล้วมีเงื่อนไขว่าจะช่วยกันดันให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นนายกฯ อีกกระทอกนั้น คงยากที่จะยอมกันได้ เพราะดูคนยืนอยู่แถวหน้านำพาพี่ใหญ่ลุยศึกเลือกตั้งหนนี้ไม่ว่าจะเป็น ธรรมนัส พรหมเผ่า มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ และ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ล้วนแต่เป็นคนที่ไม่อาจทำงานร่วมกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจทั้งสิ้น
ไม่เพียงแต่ปัญหานี้เท่านั้น เหมือนที่บอกมาโดยตลอด ส.ว.ลากตั้งนาทีนี้กับเมื่อ 4 ปีก่อนไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้านักเลือกตั้งและพรรคการเมืองระดม ส.ส.ได้เกินกว่า 250 เสียง ส.ว.ลากตั้งก็ยากที่จะโหวตเลือกผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้ เหมือนที่ วันชัย สอนศิริ เตือนการเดินตามเกมเก่า หวังเอาเสียง ส.ว.เป็นตัวตั้ง ยิ่งมาแยกกันเดินด้วยยิ่งไปกันใหญ่ หวังจะได้เป็นกอบเป็นกำและหวังจะนอนมาเหมือนเดิมคงจะไม่ใช่ ปัจจัยการเมือง กระแสนิยมและเงื่อนไขต่าง ๆ มันเปลี่ยนไปมากแล้ว