พันธมิตร…เตี้ยลงแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
ยังจำได้ไหม...เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาปีนี้ 2 บริษัทจดทะเบียน สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ประกาศร่วมลงทุนในลักษณะ “พันธมิตรทางยุทธศาสตร์ธุรกิจ” เป็นเรื่องราวฮือฮาอยู่หลายวัน
ยังจำได้ไหม…เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาปีนี้ 2 บริษัทจดทะเบียน สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ประกาศร่วมลงทุนในลักษณะ “พันธมิตรทางยุทธศาสตร์ธุรกิจ” เป็นเรื่องราวฮือฮาอยู่หลายวัน
วันนี้ 5 เดือนผ่านไป ไวเหมือนโกหก หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ดังกล่าว ส่อเค้าออกอาการไม่เวิร์ก และมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาตามมาได้ หากไม่ระวังให้ดี
กรณีที่ว่า หมายถึงการที่ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ทุ่มเงิน 944.99 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้นสามัญบริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ต่อจากผู้ถือหุ้นเดิมที่ตัดสินใจถอนตัวออกจากประเทศไทย SINGER (THAILAND) B.V. จำนวน 67,499,900 หุ้น หรือคิดเป็น 24.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด 270,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 14.00 บาท …สัดส่วนดังกล่าว ไม่ต้องทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ให้เปลืองเงินเพิ่ม
ในตอนนั้น อะไรก็ดูสวยงามไปหมด
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART เปิดเผยตอนแถลงข่าวใหญ่ยามนั้นว่า การเข้าซื้อหุ้น SINGER เป็นการผสานทางธุรกิจที่จะเกื้อหนุนกันทั้ง JMART และ SINGER ให้เติบโตยิ่งขึ้นไปในอนาคต เป็นการลดการลงทุนลง แต่รายได้เพิ่มขึ้น
แผนของ JMART คือ บริษัทตั้งเป้าหมายเปิดช็อปในโชว์รูมของ SINGER ในไตรมาส 3/58 จำนวน 10 แห่ง และในไตรมาส 4/58 เพิ่มอีก 40 แห่ง รวมเป็น 50 แห่ง ภายในสิ้นปีนี้ รวมไปถึงในส่วนของไดเร็กต์เซลในไตรมาส 3/58 จำนวน 100 คน และในไตรมาส 4/58 เพิ่มอีก 400 คน รวมเป็น 500 คน ภายในสิ้นปีนี้ ดังนั้นจะทำให้ SINGER มีรายได้ในปี 2558 เพิ่มเข้ามาประมาณ 100-150 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ธุรกิจบริหารหนี้ของบริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT จะมีรายได้ส่วนเพิ่มจากการรับจ้าง SINGER เก็บหนี้
ขณะที่ JMT Plus บริษัทย่อยของ JMT ก็ได้ประโยชน์ในเรื่องของฐานลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งของ SINGER ในการปล่อยสินเชื่อหมุนเวียนและนาโนไฟแนนซ์
ส่วนนายบุญยง ตันสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ SINGER กล่าวว่า รายได้ปกติก่อนจะได้พันธมิตรอย่าง JMART เข้ามา บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 5% จากปีก่อน แต่หลังจากมี JMART เข้ามา คาดว่ารายได้ปีนี้เติบโต 10% จากปีก่อน หากแผนงานเป็นไปตามโรดแม็พที่วางไว้ ซึ่งปีนี้จะรับรู้รายได้เข้ามาเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลัง และจะชัดเจนขึ้นในปี 2559 รวมทั้งต่อไปจะมีโปรเจ็กต์ใหม่ๆ ระหว่างกันด้วย
ความสวยหรูแบบวิน-วิน ดังกล่าว จะเป็นไปได้ หากช่องว่างระหว่างเจตนากับข้อเท็จจริงสนิทแนบแน่นไร้รอยตะเข็บ ไม่มีช่องโหว่ให้ต้องตั้งคำถามในภายหลัง เพราะหากไม่เป็นไปตามที่เจตนา อาจจะเกิดปัญหาไม่วิน-วินได้ง่ายมาก
ผลประกอบการไตรมาส 3 ของ JMART ดูแล้วเป็นไปตามเป้าหมายและเจตนาชัดเจน เพราะรายได้โต 11% จากปีก่อน 1,832.91 ล้านบาท มาเป็น 2,005.35 ล้านบาท โดยที่กำไรก็โต 31% จาก 74.25 ล้านบาท เป็น 97.91 ล้านบาท เรียกว่างานนี้คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3 ของ SINGER กลับถดถอยลง ทั้งรายได้ที่โตลดลง 10.4% จาก 899.49 ล้านบาท มาเป็น 796.67 ล้านบาท แถมกำไรก็ลดลงตามสัดส่วนเสียอีก จาก 46.88 ล้านบาท เหลือแค่ 10.57 ล้านบาท หรือลดลง 77.45%
บริษัทหนึ่งเป็นธุรกิจขาขึ้น อีกบริษัทกลายเป็นธุรกิจขาลง อย่างนี้ มองอย่างไรก็ไม่เรียกว่าสร้างพลังผนึกแน่นอน
แต่มันไปเข้าข่าย “ปลิงดูดเลือด”…เสียมากกว่า
24 พฤศจิกายน 2558 หุ้นของทั้ง 2 บริษัทกอดคอกันร่วงทำนิวโลว์ ทำท่าหมดสภาพอย่างนกปีกหัก
ราคา JMART ร่วงไปที่ 7.85 บาท ต่ำสุดในรอบ 3 เดือนครึ่ง แต่ก็พลิกกลับมามีแรงบวกมาปิดที่ 8.05 บาทจนได้
ส่วนราคา SINGER ร่วงไปที่ 10.90 บาท ต่ำสุดในรอบ 3 เดือน แต่พอถึงวานนี้ ราคาร่วงต่อลงอีก ไปถึง 10.30 บาทระหว่างวัน แต่ปิดที่ 10.70 บาท ต่ำสุดในรอบ 10 เดือนเลยทีเดียว ไม่มีท่าจะฟื้นเอาเสียเลย
ประเด็นจากนี้ไปก็คือว่า พันธมิตรธุรกิจ JMART-SINGER จะดำเนินต่อไปในรูปไหน เพราะหากยังมีลักษณะ ”ปลิงดูดเลือด” เหมือนที่ผ่านมาหลายเดือนนี้ ผู้ถือหุ้นของ SINGER คงไม่แฮปปี้แน่นอน เพราะงานนี้เห็นชัดว่า JMART และเครือข่ายได้ทางเดียว
ส่วน SINGER นับวันจะบักโกรก…เพราะถูกปู้ยี่ปู้ยำจนอมโรคทรุดโทรม…อิอิอิ