พาราสาวะถี

นิสัยนายเป็นแบบไหนให้อ่านจากพฤติกรรมของขี้ข้า ที่สุดก็เป็นไปอย่างที่เพิ่งบอกไปหมาด ๆ ความกระสันที่อยากจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกกระทอก


นิสัยนายเป็นแบบไหนให้อ่านจากพฤติกรรมของขี้ข้า ที่สุดก็เป็นไปอย่างที่เพิ่งบอกไปหมาด ๆ ความกระสันที่อยากจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกกระทอกของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ทั้งที่รู้ว่าเป็นได้อีกเพียงแค่ 2 ปี แล้วถึงขนาดลงทุนเป็นนักการเมืองเต็มตัว มีพรรคเป็นของตัวเองนั้น มันคงไม่มีใครบ้าที่จะทำไปทั้งที่รู้ชะตากรรมตัวเองว่าจะเจอทางตัน ดังนั้น สิ่งที่ เสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.ลากตั้งบอกเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคสี่ปลดล็อกข้อห้ามเป็นนายกฯ เกิน  8 ปีจึงเป็นสิ่งที่ไม่เหนือความคาดหมาย

การปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมันก็แค่การแก้เกี้ยว เช่นเดียวกันกับพวกลิ่วล้อสอพลอทั้งหลาย ทุกอย่างได้มีการเตรียมการไว้ทั้งหมดแล้ว มีการยื่นหมูยื่นแมวด้วยการที่จะให้มีการแก้ไขขยายอายุ ส.ว.ปัจจุบันออกไปอีก 5 ปี แบบนี้เขาเรียกว่าอะไร ไปกันใหญ่กับข้ออ้างที่ว่าต้องสนับสนุนคนดีให้อยู่บริหารประเทศโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงื่อนเวลา ถึงขนาดยกเอา สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนเป็นแบบอย่าง แนวคิดแบบนี้มันชวนให้สมเพชเป็นอย่างยิ่ง

ยิ่งทำให้รู้เช่นเห็นชาติของขบวนการสืบทอดอำนาจว่าต้องการปฏิรูปการเมือง อยากให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงหรือไม่ ก็แค่อาศัยการเลือกตั้ง การเป็นสมาชิกพรรคการเมืองมาปกปิดเผด็จการที่เป็นมาทั้งชีวิตก็เท่านั้น ต้องคอยดูว่าการขยับของพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งรอบนี้ จะใช้วิธีการหน้าทนกันแบบไหน มีใครเป็นลูกคู่ขานรับหรือใครอยู่เบื้องหลังในการจูงจมูก ส.ว.ลากตั้งที่เสนอแนวคิดการแก้ไขแบบนี้ เห็นท่าทีของเนติบริกรศรีธนญชัยที่แขวะนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามคงอ่านกันไม่ยาก

อย่างไรก็ตาม น่าสนใจจากปฏิกิริยาของแกนนำพรรคสืบทอดอำนาจทั้ง วิรัช รัตนเศรษฐ์ และ สันติ พร้อมพัฒน์ ที่ไม่เห็นด้วยต่อการเสนอแก้ไขดังกล่าว โดยที่เลขาธิการพรรคสืบทอดอำนาจถึงขนาดบอกว่า  “เป็นการแก้ไขเพื่อคนคนเดียว” นี่ถ้าไม่ใช่การเดินเกมแบบลับ ลวง พราง ก็เด่นชัดเป็นอย่างยิ่งว่าการแยกทางกันระหว่างพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. กับน้องทั้งสองคนนั้นไม่ใช่แผนแยกกันเดินรวมกันตีแน่นอน น่าจะเป็นการเดินกันคนละทางสร้างดาวคนละดวงมากกว่า

เด่นชัดยิ่งขึ้นเมื่อพี่ใหญ่มีการเขียนจดหมายเปิดใจ เนื้อหาสาระสำคัญที่ทำเอาน้องเล็กแสดงความหงุดหงิดเมื่อถูกนักข่าวจี้ถามในประเด็นนี้ก็คือ พี่ใหญ่ยังคงตอกย้ำปมความเป็นผู้นำเผด็จการเหมือนคราวที่โบ้ยให้น้องเล็กในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับการยึดอำนาจของ คสช. เป็นเพียงบุคคลที่ได้รับเชิญให้มาร่วม ครม.เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้วเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้มีส่วนจริงอยู่บ้าง เพราะการวางแผนยึดอำนาจรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น ลองไปถามบิ๊กโชยดูก็จะรู้ว่าใครคือคณะเสนาธิการที่ร่วมขบวนการนี้

ไม่ใช่แค่การโยนเผือกร้อนต่อความเป็นเผด็จการไปให้น้องเล็กเท่านั้น แต่พี่ใหญ่ยังยอมรับ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ทั้งก่อนที่จะเล่นแร่แปรธาตุจากกลุ่มการเมืองจนกลายมาเป็นพรรคสืบทอดอำนาจ ต่างปฏิเสธกันหน้าสลอนว่าไม่ได้ตั้งมาเพื่อหนุนให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอยู่ยาว โดยพี่ใหญ่บอกว่าเมื่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องการจะทำงานการเมืองต่อไป จึงตั้งพรรคสืบทอดอำนาจเพื่อสนับสนุนการทำงานทางการเมืองให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ

สิ่งที่น่าจะเป็นการสะท้อนภาวะความเจ็บปวดจากการตั้งรัฐบาลหลังปี 2562 คือ การถูกน้องเล็กริบเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหมและยึดอำนาจการดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติไป จนพี่ใหญ่ต้องบอกว่าในการร่วมงานกันของรัฐบาลเรือเหล็กนั้น ตนไม่เห็นด้วยกับเรื่องในการประชุมคณะรัฐมนตรีหลายเรื่อง แต่ต้องถนอมท่าทีเพราะร่วมคณะรัฐมนตรีเดียวกัน แน่นอนว่า ล่าสุดก็เป็นประเด็นที่ฉะกับน้องรองต่อการคัดค้านการแต่งตั้งอธิบดีกรมฝนหลวงฯ โดยพี่ใหญ่เห็นว่ามีเรื่องร้องเรียนและถวายฎีกาค้างอยู่หลายเรื่อง

กรณีการไปตั้งพรรคของตัวเองพี่ใหญ่ก็เปิดใจได้อย่างเจ็บแสบ ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของน้องเล็กและรวมไปถึงน้องรองที่ต้องการจะตีจากตัวเองมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว กับการระบุว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงจุดยืนทางการเมืองเมื่อวันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 ว่าจะแยกทางจากพรรคพลังประชารัฐที่เคยสนับสนุนขึ้นเป็นนายกฯ เพื่อไปร่วมงานการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ตรงกับที่สื่อมวลชนไปสืบข่าวมาก่อนหน้านี้ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นพรรคสำรองให้กับพลเอกประยุทธ์

อย่างไรก็ตาม ในฐานะพี่ใหญ่ของแก๊ง 3 ป. ยังคงแสดงความมีไมตรีต่อกันด้วยการบอกว่า ตนเคยกล่าวไว้ว่า “3 ป.Forever” มาวันนี้ก็ยังมีความรู้สึกเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในเมื่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ตนก็ไม่สามารถจะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ คงจะบอกได้เพียงว่า ขอแสดงความยินดีด้วย ขอให้ประสบความสำเร็จบนเส้นทางการเมืองใหม่ที่ได้ตัดสินใจเลือกแล้ว ท่วงทำนองเช่นนี้ทางความรู้สึกก็ต้องบอกว่ามันเหมือนแก้วที่ร้าวจนยากประสาน

สิ่งหนึ่งที่พี่ใหญ่ประกาศจุดยืนและน่าจะเป็นแนวทางสำหรับพรรคสืบทอดอำนาจหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วย คงเป็นการย้ำต่อความเป็นหัวหน้าพรรคสืบทอดอำนาจ จะขอรับผิดชอบและจะไม่มีวันทอดทิ้งสมาชิกพรรคทุกคนที่เคยทำงานการเมืองมาด้วยกัน และพร้อมจะเดินนำทุกคนที่มีความเชื่อมั่นในความตั้งใจอันแน่วแน่ของตัวเอง เข้าสู่การเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยต่อไป เพื่อกลับมาเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบริหารบ้านเมืองอีกครั้ง

การแสดงท่าทีเช่นนี้ มันสอดรับกับจังหวะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ประกาศจะสลายขั้วการเมืองให้ได้หากเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล โดยยืนยันและเหมือนเป็นการชี้ไปยังผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจด้วยว่า การสลายขั้วเกิดขึ้นได้ ถ้าผู้บริหารประเทศรับฟังและประนีประนอม มีเป้าหมายจะทำงานไปข้างหน้า หากเป็นจุดยืนที่แท้จริงไม่พลิกลิ้นเหมือนหลังเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ก็น่าเชื่อได้ว่าโอกาสอยู่ยาวของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจคงหวังไปด้วย เช่นเดียวกับการจะแก้ไขมาตรา 158 วรรคสี่ของขี้ข้าพลอยทั้งหลายก็น่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้

Back to top button