พาราสาวะถี
จะเจตนาโยนหินถามทางหรือต้องการจะเดินหน้ากันจริงจังหรือไม่ ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ การประกาศเจตนารมณ์แก้ไขรัฐธรรมนูญ ของ เสรี เพื่อให้ปลดล็อกการห้ามเป็นนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปี
จะเจตนาโยนหินถามทางหรือต้องการจะเดินหน้ากันจริงจังหรือไม่ ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ การประกาศเจตนารมณ์แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคสี่ ของ เสรี สุวรรณภานนท์ เพื่อให้ปลดล็อกการห้ามเป็นนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปี คือ เจตนาแก้ไขเพื่อคนคนเดียว คำถามก็คือ แล้ว ส.ว.ลากตั้งทั้ง 250 คนเอาด้วยหรือเปล่า อย่าลืมว่า สถานการณ์การเมืองและทิศทางของ ส.ว.นาทีนี้กับเมื่อปี 2562 ไม่ใช่พวกที่รอแค่ยกมือตามคำสั่งซ้ายหันขวาหันอีกแล้ว
แม้ว่าคนเหล่านั้นจะเคยผ่านการแต่งตั้งด้วยลายเซ็นของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณล้นเหลือที่อุ้มชูกันมาให้มีตำแหน่งและอำนาจทางการเมืองถึงขนาดร่วมเลือกนายกฯ ได้ แต่นั่นก็เป็นการใช้อำนาจภายใต้หัวโขนของเผด็จการหัวหน้า คสช. พอผ่านพ้นการเลือกตั้งไปแล้ว ต้องย้อนกลับไปมองว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปีของสภาผู้แทนราษฎร บรรดา ส.ว.ทั้งหลายนอกเหนือจากการแต่งตั้งลูกหลานญาติมิตรให้มีตำแหน่ง กินเงินเดือนแล้ว การดูแลอย่างอื่นใครเป็นผู้คอยจุนเจือ
ตรงนี้เป็นเครื่องหมายคำถามสำคัญ ตามที่เคยได้แยกแยะให้เห็นไปแล้วว่า ส.ว.ปัจจุบันเขาแบ่งก๊กแบ่งเหล่ากันอย่างไร ดูกันแค่เฉพาะสายของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.กับน้องเล็กยิ่งเห็นภาพชัดว่า ใครมีบารมีและน้ำใจที่ ส.ว.ทั้งหลายควรเกรงใจมากกว่ากัน ชัดเจนและยืนยันมาจาก ส.ว.สายพี่ใหญ่ไม่เอาด้วยกับข้อเสนอนี้เหมือนที่หลายพรรคพากันชูประเด็นค้านอยู่เวลานี้คือ แก้ไขเพื่อคนคนเดียว ยิ่งถ้าถูกกระแสสังคมโจมตีว่าความพยายามแก้นี้เพราะต้องการยื่นหมูยื่นแมวให้ขยายอายุ ส.ว.ลากตั้งไปอีก 5 ปียิ่งเดินกันลำบาก
เอาแค่ว่าจุดประเด็นเช่นนี้มาก่อนจะเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ อย่างไรเสีย หากไม่ใช่แค่การโยนหินถามทางแต่จะเอาจริงต้องดูที่เงื่อนเวลาว่าจะทันสมัยวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้หรือไม่ ถ้าไม่ทันการแก้ไขก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะการจะแก้รัฐธรรมนูญจะต้องเกิดจากที่ประชุมร่วมรัฐสภาเท่านั้น ส.ว.เพียงฝ่ายเดียวแก้ไขไม่ได้ หรือลืมไปว่าตัวเองเป็น สนช.ยุคเผด็จการ คสช.ที่สามารถแก้ไขได้ทุกอย่าง
ไม่เพียงแต่ ส.ว.ต่างสายไม่เอาด้วย บรรดาพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล นำโดยพรรคสืบทอดอำนาจก็ประกาศความชัดเจนแล้วว่าไม่เห็นด้วย เพราะแก้ให้คนคนเดียว แม้พรรคประชาธิปัตย์หัวหน้าพรรคจะสงวนท่าทีลีลาตามสไตล์ว่าไม่ขอวิจารณ์หรือด่วนสรุป แต่แนวโน้มเมื่อมองไปยังเสียงของประชาชนย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ไม่ต่างกันกับพรรคภูมิใจไทยที่ อนุทิน ชาญวีรกูล มีความหวังว่าจะหยิบชิ้นปลามันได้เป็นผู้นำประเทศคนที่ 30 คงไม่เล่นด้วยเช่นกัน
เท่ากับว่าการเดินเกมรอบนี้ยังไงก็ไปต่อกันยาก จะแก้หรือไม่แก้เท่ากับความพ่ายแพ้รออยู่ข้างหน้าทั้งสิ้น แก้เพื่อให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้อยู่ยาว ยิ่งจะนำหายนะมาสู่ท่านผู้นำและพรรคของตัวเองจากที่ต้องลุ้นให้ได้เก้าอี้ ส.ส.อย่างน้อย 25 ที่นั่ง จะกลายเป็นไม่เหลือเก้าอี้ ส.ส.ให้ได้เข้าไปนั่งในสภา ถ้าไม่แก้ไม่ได้หมายความว่าประชาชนจะเชื่อใจ และมองเห็นเป็นการแสดงสปิริต แต่เป็นการแสดงให้เห็นธาตุแท้แล้วว่า คนที่ขอเวลาอีกไม่นาน แท้จริงแล้วต้องการอยู่นานถึง 20 ปีตามยุทธศาสตร์ชาติที่วางไว้
เช่นนี้แล้วย่อมไม่มีใครที่อยากจะให้กลับมามีอำนาจอีก กว่า 8 ปีที่ผ่านมานั้นมันแสนสาหัสขนาดไหน คนส่วนใหญ่สัมผัสกันได้ดี แม้แต่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็เชื่อว่ารู้ตัวดี แต่การอยู่บนหลังเสือจึงต้องทำเป็นไขสือ หรืออาจจะถูกหน้ากากคนดีเข้าสิงจนมองไม่เห็นความเป็นจริง จึงยังจะดันทุรังกันอย่างที่เห็น ขณะเดียวกัน ข่าวแว่วมาว่านอกเหนือจากสายตรงทั้งหลายที่ถูกสถานการณ์บังคับต้องตอบแทนบุญคุณมาร่วมหัวจมท้ายกับพรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ พวกที่เตรียมจะตามมาเจอหมากเกมนี้เข้าไปถึงกับกุมขมับกันเป็นแถว
นำไปสู่แนวโน้มที่อาจจะต้องอยู่ที่เก่าต่อไปแม้จะคับใจอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยโอกาสที่จะได้เป็น ส.ส.และมีตำแหน่งแห่งหนทางการเมือง ยังเปิดกว้างมากกว่าที่จะย้ายมาตายเอาดาบหน้ากับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ นั่นจึงทำให้ย้อนกลับไปนึกถึงบทสัมภาษณ์ของ สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตรที่มีกระแสข่าวจะพากันไขก๊อกจากพรรคสืบทอดอำนาจไปร่วมงานกับรวมไทยสร้างชาติว่า ต้องประเมินสถานการณ์ที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ในวันที่พูดอาจจะหมายถึงการรอดูการหวนคืนกลับมาพรรคสืบทอดอำนาจของ ธรรมนัส พรหมเผ่า และชาวคณะ ที่ถือเป็นไม้เบื่อไม้เมาต่อกัน หรืออาจจะหมายถึงการรอดูกระแสทางการเมืองระหว่างอยู่ที่เดิมกับย้ายพรรคแบบไหนจะเป็นคุณมากกว่ากัน ส่วนเรื่องที่จะกลับไปร่วมงานกับเพื่อไทยนั้นคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากการทับซ้อนของพื้นที่ ซึ่งเวลานี้พรรคนายใหญ่ได้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครจนเกือบจะครบทุกเขตแล้ว รอเพียงความชัดเจนจากการแบ่งเขตของ กกต.เท่านั้น
ความจริงตัวบ่งชี้ถึงกระแสของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็น่าจะรับรู้ได้ตั้งแต่วันที่นัดหมายพวกที่จะย้ายคอกไปกินข้าวร่วมกันเมื่อสองเดือนก่อน มีพวกนัดแล้วไม่มาจำนวนมาก ที่ตีจากพรรคของพี่ใหญ่ก็ไหลไปหาภูมิใจไทยและเพื่อไทย ขณะที่พี่ใหญ่ได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว ไม่ได้หวังที่จะเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเหมือนที่ผ่านมา เพราะเลิกแบกเสลี่ยงให้น้องเล็กนั่ง จึงพุ่งเป้าไปที่การได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล โดยมีเก้าอี้กระทรวงสำคัญติดไม้ติดมืออย่างน้อย 2-3 กระทรวงก็เกินพอ
เมื่อเป้าหมายต่างกันมันจึงทำให้โจทย์ที่จะต้องแบกรับหนักหนาต่างกันตามไปด้วย ว่ากันว่าบรรดากุนซือของพี่ใหญ่เวลานี้เตรียมแผน วางนโยบายเพื่อการหาเสียงเต็มที่ ควบคู่ไปกับการเดินสายหารือกับพรรคการเมืองต่าง ๆ ของพวกมือประสานสิบทิศ ผิดกับน้องเล็กที่กุนซือการเมืองกับนักกฎหมายขายตัว พยายามหาช่องทางที่จะเอาเปรียบคู่แข่ง ใช้เล่ห์เหลี่ยมที่จะพลิกเกมสร้างกระแสให้ตัวเองกลับมาอยู่ในฐานะฝ่ายกุมความได้เปรียบ หรือผู้กำหนดเกมเหมือนการเลือกตั้งที่ผ่านมา รอดูไม่ใช่แค่การชงเลิกมาตรา 158 วรรคสี่เท่านั้น ยังจะสิ่งที่ประเภทอย่างหนาเท่านั้นทำได้เสนอให้สังคมได้ส่ายหน้ากันอีก