พาราสาวะถี

นักการเมืองอาชีพจะรู้ดีถึงความรู้สึกที่ว่า วัน เวลา ทางการเมืองนั้นมันช่างแสนยาวนานเหลือเกิน สำหรับช่วงที่เผชิญกับวิกฤต


นักการเมืองอาชีพจะรู้ดีถึงความรู้สึกที่ว่าวัน เวลาทางการเมืองนั้นมันช่างแสนยาวนานเหลือเกิน สำหรับช่วงที่เผชิญกับวิกฤต โดยเฉพาะกระแสนิยมจากประชาชน สถานการณ์ความเป็นนักการเมืองเต็มตัวของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหลังสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติก็เป็นเช่นนั้น ยิ่งนานวันยิ่งถูกท้าทายจากกระแสข่าวและประเด็นต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้าใส่ สร้างแรงกดดันจนเกิดความเครียดและต้องระเบิดอารมณ์แสดงตัวตนที่แท้จริงในที่สุด

ลำพังแค่เรื่องพี่ใหญ่เที่ยวปาดหน้าลงพื้นที่ต่าง ๆ ก็ทำให้อารมณ์บ่จอยกันพอแล้ว ล่าสุด ยังมีประเด็นของ โทนี่ วู้ดซัม หรือ ทักษิณ ชินวัตร ที่สะกิดให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกลับบ้านไปเลี้ยงหลาน หรือออกมาท่องเที่ยวด้วยกัน มิหนำซ้ำ ยังเย้ยหยันด้วยว่าไม่กล้ายุบสภาเพราะรวมไทยสร้างชาติยังไม่พร้อมเลือกตั้ง งานนี้เมื่อถูกจี้ถามถึงขั้นหัวเสียแสดงธาตุแท้ของตัวเองออกมาว่า “อย่าไปพูดถึงคน ๆ นั้นผมไม่ชอบ” แค่เท่านี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่า ถนนสายการเมืองเพื่อการอยู่ยาวนั้นมันคับแคบ ตีบตัน ลงเรื่อย ๆ

การพูดเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการตีตรา หรือผูกมัดตัวเอง สะท้อนให้เห็นถึงการตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นของพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งเท่านั้น ไม่สามารถที่จะสังฆกรรมหรือร่วมงานกันพรรคการเมืองอื่นที่ไม่ใช่ขั้วอำนาจในปัจจุบัน ถ้าเช่นนั้นก็ต้องย้อนกลับไปยังบทสัมภาษณ์ของเลขาธิการพรรค เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ที่เคยบอกว่าพร้อมที่จะร่วมมือทางการเมืองกับทุกพรรคหลังเลือกตั้ง เพื่อที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง

คำพูดของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจลักษณะนี้ มันก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าการสร้างความสามัคคี ปรองดองของคนในชาติที่ใช้เป็นข้ออ้างของการยึดอำนาจในนามหัวหน้าเผด็จการ คสช.นั้น หาได้มีความตั้งใจที่จะให้เป็นเช่นนั้นไม่ ความจริงแม้แต่ในการประชุมคณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่ตัวเองทำมากับมือก็ยังขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันสร้างความสามัคคีกันอยู่ นั่นย่อมทำให้เห็นว่ากว่า 8 ปีที่ผ่านมานั้น นอกจากจะไม่ทำให้คนไทยรักกันแล้ว ยังต้องการให้แตกแยกเพื่อที่ตัวเองจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการอยู่ยาวต่อไป

การทำการเมืองเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนตัดสินใจไม่ยาก หากส่วนใหญ่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ไม่จำเป็นต้องไปเข้าทางเพื่อไทยที่ขอแลนด์สไลด์ แต่อย่างน้อยก็จะไม่ไปเลือกพรรคที่มีความสุดโต่งในการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายประชาชน ทั้งที่คนส่วนใหญ่อยากให้บ้านเมืองสงบ ซึ่งท่วงทำนองการเมืองแบบนี้เหมือนที่ย้ำมาตลอด มันเป็นตัวบีบให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจทำงานลำบาก ขยายฐานเสียงยิ่งไม่ต้องพูดถึง จะได้คะแนนนิยมก็เฉพาะพวกที่หลับหูหลับตาเชียร์เท่านั้น

ผิดกับพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ที่แม้โอกาสความเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อาจจะอยู่ไกลกว่าคู่แข่งคนอื่น แต่อย่างน้อยก็พอมองเห็นอนาคตแล้วว่า ยังไงก็ไม่ตกขบวนร่วมรัฐบาลแน่ ขณะเดียวกัน นอกเหนือจากจะมีการปาดหน้าลงพื้นที่แล้ว ช่วงนี้จะเห็นว่าทั้งพี่ใหญ่และน้องเล็กขยันโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวกันถี่ยิบ และยิ่งทำให้เห็นความแตกต่างในเรื่องของความพร้อมทางการเมือง อีกฝ่ายคอยแก้ตัวจากความผิดพลาดในอดีต ขณะที่อีกคนมองไปถึงอนาคตหลังเลือกตั้งแล้ว

โดยที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจโพสต์ล่าสุด อ้างถึงมติ ครม.ให้ความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชน ดูแลสาธารณสุข ความเป็นธรรม พร้อมยืนยันว่าคุกไม่ได้มีไว้ขังคนจน มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะพิทักษ์ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทยทุกคนให้ทั่วโลกยอมรับ ทั้งที่ผ่านมากว่า 8 ปีนั้น คนไทยส่วนใหญ่ต่างรู้เห็นกันหมดว่า ฝ่ายกุมอำนาจภายใต้การนำของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้น ยอมรับความเห็นต่างและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือไม่

การอ้างกระบวนการทางกฎหมายก็เป็นไปเพื่อปกป้องเสถียรภาพในอำนาจของตัวเองเท่านั้น พอเป็นนักการเมืองเต็มตัว ก็มองเห็นแล้วว่าสิ่งที่ทำไปในอดีตนั้นมันจะตามมาหลอกหลอนความเคลื่อนไหวของตัวเองในอนาคต จึงต้องรีบแก้ตัว แต่การทำไอโอลักษณะนี้ก็หลอกได้แต่พวกเดียวกันเท่านั้น คนทั่วไปตาสว่างกันหมดแล้ว เส้นทางการเมืองของน้องเล็กจึงต้องสร้างภาพกันขนานใหญ่ ซึ่งน่าจะลบภาพจำจากผลของการกระทำที่ผ่านมาได้ยาก

ผิดกับพี่ใหญ่ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเหมือนกัน แต่เป็นไปในท่วงทำนองสบาย ๆ แสดงความดีใจพร้อมขอขอบคุณสื่อมวลชนและประชาชนที่ให้ความสนใจจดหมายเปิดใจก่อนหน้า แน่นอนว่า จดหมายฉบับนั้นคือการฉายภาพความเป็นเผด็จการน้องเล็ก ที่ตรงข้ามกับพี่ใหญ่ ซึ่งในสารที่สื่อหนนี้ก็ตอกย้ำถึงภาพเช่นนั้น เมื่อเจ้าตัวบอกว่าจดหมายเปิดใจตรงตามเจตนารมณ์ที่ตนต้องการจะสื่อสารสองทางผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ได้เต็มที่

ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้มีการโชว์ความเหนือชั้นแสดงความเป็นนักการเมืองอาชีพมากกว่าน้องเล็กด้วยการบอกว่า ตนอาจจะเป็นมือใหม่บนโลกโซเชียลมีเดีย แต่ไม่ใช่มือใหม่ทางการเมือง ตลอด 8 ปีการเมืองมีคุณค่ามากสำหรับตน ซึ่งจะทยอยเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไปว่าตนได้เรียนรู้อะไรบ้าง ขอได้โปรดติดตาม แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เป็นประโยคเด็ดนั่นก็คือ “ผมได้เรียนรู้ว่านักการเมืองไม่จำเป็นต้องพูดเก่ง แต่จะต้องคิดเก่ง และที่สำคัญคือต้องหาคนเก่งมาร่วมงานด้วย เพราะคนเรานั้นไม่มีใครเก่งไปทุกเรื่อง”

ไม่รู้ว่าตั้งใจที่จะแซะน้องเล็กของตัวเองหรือไม่ เนื่องจากเคยประกาศไว้ประเทศไทยจะขาดตัวเองไม่ได้ ประมาณว่าข้าดีและเก่งอยู่คนเดียว มากไปกว่านั้น การโพสต์หนนี้ของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ยังเป็นเหมือนการผลักให้น้องเล็กไปยืนอยู่กับพวกเลือกข้าง ยิ่งมีบทสัมภาษณ์เรื่องไม่ชอบทักษิณสำทับเข้าไปด้วย ข้อความของพี่ใหญ่ที่ว่านักการเมืองต้องสามารถประสานกับทุกฝ่าย ประนีประนอมกับทุกพรรค เพื่อลดความขัดแย้ง โดยยึดถือผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหัวใจสำคัญ จึงจะสามารถผลักดันประเทศชาติให้เดินหน้าไปได้ น่าจะยิ่งทำให้ในสนามเลือกตั้งคนตัดสินใจง่ายขึ้นว่าควรจะเลือกใครเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง

Back to top button