หุ้นต่ำสิบมาแรง
วันนี้ “โมนิก้า” ขอมาในแนววิชาการสักหน่อย เพราะเดือน ม.ค. ปี 66 ไม่มีปรากฏการณ์ “January Effect” เหมือนที่หลายคนเคยคาดหวัง
วันนี้ “โมนิก้า” ขอมาในแนววิชาการสักหน่อย เพราะเดือน ม.ค. ปี 66 ไม่มีปรากฏการณ์ “January Effect” เหมือนที่หลายคนเคยคาดหวัง และเมื่อนำมาผนวกรวมกับสถิติย้อนหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจะพบว่า ดัชนีให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากถึง 7 ปีกันเลยทีเดียว หรือคิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยก็จะอยู่ในระดับ 1.80% ซึ่งเป็นระดับที่น่ารักน่าลุ้นสำหรับคนที่เน้นลงทุนสั้น ๆ นะจะบอกให้
ที่น่าสนใจคือ ทฤษฎีดังกล่าวมาจากความเชื่อที่ว่า ตลาดหุ้นมักปรับตัวขึ้นแรงเดือนแรกของปี ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากช่วงสิ้นปีมีการขายทำกำไรออกไปมาก จนราคาหุ้นปรับตัวลงมาในระดับที่น่าลงทุน และกลายเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อหุ้นอีกครั้ง “โมนิก้า” จึงต้องกลับมาดูความจริงที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้ว่า นักเล่นให้ความสนใจเรื่องไหนเป็นพิเศษ และในที่สุดก็พบว่า หุ้นต่ำสิบมาแรงพะย่ะค่ะ
โดยเฉพาะในรายของ STI ถือเป็นหุ้นทีเด็ดสำหรับขาลุยอย่างแท้ทรู เพราะตั้งแต่กลุ่ม UV เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 คนอีก 12% (ของเดิมถืออยู่แล้ว 26%) ก็ทำให้ราคาหุ้นพุ่งกระฉูดหยุดไม่อยู่เป็นเวลาร่วม 8 วัน และวานนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ราคาหุ้นทะยานขึ้นมาปิดที่ 8.30 บาท บวกไป 1.10 บาท หรือขึ้นไป 15.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 466 ล้านบาท อาจตีความได้ว่า กลุ่มนี้คงคิดการใหญ่อะไรสักอย่างแน่ ๆ บรรดานกรู้ถึงไล่ไม่เลิกเจ้าค่ะ
เช่นเดียวกับในรายของ SIRI ก็ลากขึ้นลากลงกันมันสุด ๆ ตลอดทั้งเดือน มันทำให้เชื่อว่า เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเห็นกันอย่างชัดเจนว่า หัวเรือใหญ่ออกตัวแรงขนาดไหน? ผนวกกับตอนนี้โหมข่าวเปิดโครงการใหม่ ดันรายได้โตเป็นประวัติการณ์ จึงทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 1.81 บาท บวกไป 0.06 บาท หรือขึ้นไป 3.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 661 ล้านบาทแบบชิล ๆ ไงล่ะคะ
ส่วนหุ้นแบงก์ต่ำสิบที่เคาะมัน ๆ เล่นได้หลายรอบ “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น TTB เป็นรายถัดมาแบบไม่ลังเลใจ เพราะรายนี้มีสตอรี่เกี่ยวกับการสร้างรายได้ที่น่าสนใจ แถมราคาหุ้นก็ยังมีอัพไซด์ค่อนข้างเยอะในมุมของ PE และ PBV เดี๊ยนถึงดีใจเนื้อเต้นที่เห็นราคาหุ้นไต่เพดานขึ้นมาปิดที่ 1.47 บาท บวกไป 0.02 บาท หรือขึ้นไป 1.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 653 ล้านบาท เพราะราคาหุ้นควรวิ่งมาแถวนี้ตั้งนานแล้วพะย่ะค่ะ
อีกรายที่อยู่ในความสนใจของ “โมนิก้า” คงต้องมองไปที่หุ้น THREL หลังราคาหุ้นพุ่งแรง 2 วันซ้อน จนราคาหุ้นขึ้นมาปิดที่ระดับ 5.05 บาท บวกไป 0.39 บาท หรือขึ้นไป 8.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 89 ล้านบาท มันเป็นช็อตที่ทำให้อยากรู้จริง ๆ ว่า การขึ้นเที่ยวนี้มีอะไรเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญไหม? และเที่ยวนี้คาดหวังราคาหุ้นจะขึ้นไปหายอดแรกแถว 5.50 บาท และเลยไปถึง 6 บาทได้หรือเปล่า?…มันเป็นเรื่องที่น่าตามดูแบบใกล้ชิดนะจ๊ะ
ส่วนหุ้นเล็กสตอรี่สวยอย่าง YONG ก็เป็นช็อตที่เหมาะสำหรับขาซิ่งอย่างแท้ทรู เพราะเมื่อดูจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของฝั่งตะวันออก ย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับคนที่ทำธุรกิจคอนกรีตสำเร็จรูป “โมนิก้า” ถึงเชื่อว่า ปีนี้ผลงานของบริษัทจะบรรเจิดอย่างแน่นอน และการขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 2.46 บาท บวกไป 0.14 บาท หรือขึ้นไป 6% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 82 ล้านบาท ท่ามกลางค่า PE 18 เท่า ก็เป็นจุดที่ทุกคนเอื้อมถึงจ้า!
ท้ายสุดนี้ “โมนิก้า” ขอหยิบคอมเมนต์ของหนุ่มใหญ่พราวเสน่ห์อย่าง “สมโภชน์” หรือ EA กรณีค่าไฟแพงมาเม้าท์เพื่อเตือนสติว่า สิ่งที่พูดออกมาล่าสุด อาจย้อนศรกลับมาหาตัวเองเต็ม ๆ หากป้องกันไม่ดี..อุ๊ย!..ไม่ระวังให้ดี โดยเฉพาะตัวคุณพี่เองก็เป็นมนุษย์ไฟฟ้าที่ขายไฟหาเลี้ยงชีพอยู่แล้ว แถมไฟที่คุณพี่ขายให้กับคนไทยในปัจจุบันก็สุดแสนจะแพง…จริงไหม?..ถามใจเธอดู!
ความยุ่งเหยิงดังกล่าวเกิดจาก คุณพี่ดันไปพูดออกสื่อถึงสาเหตุที่ทำให้คนไทยต้องใช้ไฟแพง มันเกิดจาก Reserve ในบ้านเราล้นทะลักมากถึง 40% แทนที่จะมีแค่ 10% เหมือนกับคนอื่น แต่คุณพี่กลับเงียบเฉยไม่พูดถึงโครงการต่าง ๆ ของ EA โดยเฉพาะพวกโซลาร์ฟาร์มที่คนไทยต้องจ่ายค่าแอดเดอร์ให้อีก 8 บาทต่อหน่วย (ออนท็อป แต่คนละอย่างกับครูบาไก่) ซึ่งคุณพี่ก็รู้แก่ใจอยู่แล้วมิใช่หรือว่า ส่วนเพิ่มนี้ก็ต้องถูกนำมาเฉลี่ยในบิลค่าไฟของทุก ๆ คนด้วย
นอกจากนี้ยังมีพวกโครงการลมของ EA อีกหลายร้อยเมกะวัตต์ ซึ่งลมปากของคุณพี่ที่ออกมาวันนี้ สังคมเขาจะครหากันได้ว่ามันตรงกับสำนวน “กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง” จริงเท็จแค่ไหนเอาตัวเลขมาถ่างดูจะได้กระจ่างว่า สุดท้ายประชาชนคือตัวประกันผู้น่าสงสารที่ถูกนำมาอ้างถึงหรือไม่? ซ้ำร้ายคุณพี่ไม่ยอมพูดถึงการผลักดันใช้แบตเตอรี่ (แบบ Aggressive สไตล์สมโภชน์) จะทำให้ค่าไฟคนไทยรวมถึงตัวอีโมแพงขึ้นอีกเท่าไหร่?…เดี๊ยนอยากรู้จริง ๆ นะคะพี่ขา!