ฝากความหวังกับ ‘จีน’ อีกครั้ง
เศรษฐกิจโลกที่นักเศรษฐศาสตร์ มองว่าทำท่าจะถดถอยปีนี้ เริ่มมีชีวิตชีวาและมีความหวังขึ้นมาทันตาเห็นเมื่อรัฐบาลจีนประกาศเปิดพรมแดนใหม่อีกครั้ง
เศรษฐกิจโลกที่นักเศรษฐศาสตร์ มองว่าทำท่าจะถดถอยปีนี้ เริ่มมีชีวิตชีวาและมีความหวังขึ้นมาทันตาเห็นเมื่อรัฐบาลจีนประกาศเปิดพรมแดนใหม่อีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม หลังจากที่ใช้นโยบาย “zero-covid” อย่างเคร่งครัดมาราว 3 ปี
นอกจากการประกาศของจีนจะมีผลทางจิตวิทยาแล้ว ตัวชี้วัดแรกที่แสดงให้เห็นว่านโยบายของจีนมีผลต่อทั่วโลกจริงคือ ตัวเลขต่าง ๆ ช่วงวันหยุดตรุษจีนตั้งแต่วันที่ 21 ถึง 27 มกราคม ส่วนใหญ่ออกมาดี เช่น มีการเดินทางและการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น อย่างเห็นได้ชัด
จากการเปิดเผยของกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีน เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้แต่ยอดขายตั๋วภาพยนตร์ก็เพิ่มขึ้นอย่างถล่มทลาย สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ สามารถดึงดูดคนได้เป็นจำนวนมาก ทำให้ยอดใช้จ่ายในช่วงหยุดตรุษจีน พุ่งขึ้น 30% เป็น 375,800 ล้านหยวน หรือ 56,000 ล้านดอลลาร์ การเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มขึ้น 23% เป็น 308 ล้านหยวน โดยแค่การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวบนเกาะไหหลำซึ่งเป็นศูนย์กลางปลอดภาษี โตถึง 20% เป็น 1,685 ล้านหยวน
อย่างไรก็ดีตัวเลขเหล่านี้ยังถือว่าต่ำกว่าระดับก่อนโควิดระบาดเมื่อปี 2562 มาก จึงเป็นไปได้สูงมากที่มันจะคึกคักได้มากกว่านี้อีก
นี่ขนาดมีความวิตกกันว่า ช่วงวันหยุดตรุษจีนปีนี้นักท่องเที่ยวอาจจะไม่หนาแน่นเพราะในเมืองจีนโควิดยังน่ากลัวอยู่แต่การเปลี่ยนทิศทางนโยบายโควิดเพียงอย่างเดียว ยังทำให้กิจกรรมของผู้บริโภคกลับสู่ปกติได้อย่างรวดเร็ว
แพลตฟอร์มเดินทางออนไลน์ “Trip.com” เผยว่า อุปสงค์ในการเดินทางของคนจีนสูงสุดในรอบสามปี โดยมีความต้องการเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นถึงสี่เท่า และน่ายินดียิ่งที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ติดโผยอดฮิตของคนจีนด้วย
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ก็ได้เพิ่มแนวโน้มการเติบโตทั่วโลกในปีนี้เล็กน้อยเป็น 2.9% จากที่คาดการณ์ไว้ 2.7% เมื่อเดือน ตุลาคม โดยเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะการเปิดประเทศของจีนเช่นกัน นอกเหนือจากเหตุผลที่อุปสงค์ในสหรัฐฯ และยุโรปฟื้นตัวอย่างน่าประหลาดใจและต้นทุนพลังงานลดลง
อย่างไรก็ดี มีคำเตือนจาก ฟิทช์ เรทติ้งส์ ว่า “หากการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วทั้งภูมิภาคต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือกำลังซื้อของผู้บริโภคบั่นทอนลงเพิ่มอีกเพราะอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด อุปสงค์การเดินทางอาจจะถดถอยลงได้ นอกจากนี้ ยังมีอันตรายที่โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ หรือ การระบาดระลอกใหม่ ๆ อาจขัดขวางหรือเปลี่ยนทิศทางการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวได้”
รัฐบาลจีนก็คงจะระวังและเตรียมแผนรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะพลิกผันได้ไว้แล้วเช่นกัน ในวันเสาร์ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีประกาศว่าจะส่งเสริมการฟื้นตัวของการบริโภคเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเพิ่มการนำเข้า เร่งรัดโครงการลงทุนของต่างชาติ รักษาเงินหยวนให้มีเสถียรภาพ ผ่อนคลายระเบียบเดินทางข้ามพรมแดน และให้ความช่วยเหลือบริษัทเข้าร่วมเทรดโชว์ทั้งในและต่างประเทศ ขณะเดียวกันจะให้การสนับสนุนภาคเอกชน และเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลและยังได้หารือถึงมาตรการที่จะสนับสนุนให้เกษตรกรเริ่มเพาะปลูกในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้ ด้วย
ข้อมูลของทางการจีนเมื่อต้นเดือนนี้ชี้ว่า เศรษฐกิจจีนโตประมาณ 3% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ประมาณ 5.5% อยู่มาก แต่ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของรอยเตอร์ มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวกลับมาโต 4.9% ในปีนี้ ก่อนที่จะคงที่ในปีหน้า
นั่นอาจจะเป็นการคาดการณ์ที่ยังไม่คำนึงถึงผลกระทบ จากมาตรการล่าสุดที่คณะรัฐมนตรีจีนเพิ่งประกาศมา จึงยังคงมีความหวังที่เป็นไปได้ว่า เศรษฐกิจจีนอาจมีสิทธิ์โตได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายของทางการได้เร็วกว่าที่คิดและอาจกลับมาเป็น “แรงขับเคลื่อน” เศรษฐกิจโลกได้อีกครั้ง หลังจากที่หยุดทำงานมาร่วมสามปี
แต่ถึงแม้ว่าจีนจะเป็นคู่ค้าที่มีความสำคัญ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะปล่อยให้ “ทุนจีนสีเทา” มากอบโกยแบบเงียบ ๆ ได้เหมือนกรณี “ตู้ห่าว”, “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” หรือปล่อยให้เกิดเรื่องฉาว “อ.น.”…มันเสียหายทั้งในเชิงเศรษฐกิจและเสียเกียรติเจ้าหน้าที่ไทยเป็นอย่างยิ่ง