ถอนร่างพรฎ.ภาษีหุ้น?
คณะรัฐมนตรี อนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวง “กำหนดให้ผู้ประกอบการธุรกิจทรัสตี และผู้ประกอบธุรกิจให้บริการระบบคราวด์ฟันดิง เป็นสถาบันการเงิน”
คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา อนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวง “กำหนดให้ผู้ประกอบการธุรกิจทรัสตี และผู้ประกอบธุรกิจให้บริการระบบคราวด์ฟันดิง เป็นสถาบันการเงิน” ออกตามความในพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
ความจำเป็นที่ต้องเสนอถอนร่างฯ ดังกล่าว เนื่องจากคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เห็นว่า การกำหนดให้ผู้ประกอบการธุรกิจทรัสตีเป็น “สถาบันการเงิน” อาจก่อให้เกิดภาระแก่ผู้ประกอบการเกินความจำเป็น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องรายงานธุรกรรมต่อสำนักงานปปง.
ส่วนการประกอบธุรกิจคราวด์ฟันดิง เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) สามารถระดมทุนเพื่อนำไปใช้ในการประกอบธุรกิจ ปัจจุบันสำนักงาน ก.ล.ต.มีระบบการกำกับดูแลอยู่แล้ว และยังไม่ปรากฏข้อมูลว่ามีการฟอกเงินผ่านธุรกิจประเภทนี้
ดังนั้น เพื่อไม่ให้การดำเนินธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้รับผลกระทบจนถึงขั้นหยุดชะงัก จึงเห็นควรชะลอการกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการระบบคราวด์ฟันดิงเป็นสถาบันการเงินไว้ก่อน
ร่างกฎกระทรวงให้ธุรกิจทรัสตีและคราวด์ฟันดิงพ้นจากการเป็นสถาบันการเงิน ที่จะทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนสูงและจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SME ได้รับการถอดถอนหรือชะลอบังคับใช้เป็นกฎหมายไปแล้ว
แล้วร่างพระราชกฤษฎีกาจัดเก็บภาษีขายหุ้น ที่จะมีการจัดเก็บในรูปของภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตรา 0.1% ไม่ว่าจะเป็นการขายขาดทุนหรือขายมีกำไรล่ะ จะมีการทบทวนชะลอการบังคับใช้หรือถอดถอนออกไปไหม
เรื่องนี้ น่าจะส่งผลกระทบยิ่งใหญ่กว่าเรื่องร่างกฎกระทรวงข้างต้นเป็นอันมากทีเดียว
เพราะมันหมายถึงการสั่นคลอนโครงสร้างตลาดหุ้นไทยที่มีมูลค่ากว่า 20 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่ามูลค่าจีดีพีประเทศไทยเสียอีก
สภาพคล่องการซื้อขายของตลาดคือหัวใจสำคัญอย่างยิ่งของตลาดหลักทรัพย์ฯ หากสภาพคล่องเหือดหายไปจากภาระต้นทุนของผู้ลงทุนที่สูงขึ้น ย่อมทำให้ตลาดหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายอันดับ 1 ในอาเซียน แซงหน้าตลาดสิงคโปร์ไปแล้ว กลายเป็นตลาดหุ้นไร้เสน่ห์โดยสิ้นเชิง
ภาวะการซื้อง่าย ขายคล่อง จะเข้า–จะออกเมื่อไหร่ก็สะดวก จะหดหายไปในทันที นอกจากนั้นจะส่งผลให้เกิดการด้อยค่าหลักทรัพย์ที่ถือครองในตลาดอีกด้วย
ตลาดหุ้นสิงคโปร์ มีขนาด 8.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 27 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยเสียอีก และไม่เก็บภาษีขายหุ้น แต่ด้านสภาพคล่องการซื้อขาย ประเทศไทยกลับแซงหน้ามา 3-4 ปีแล้ว
เท่ากับเราพัฒนาตลาดหุ้นจนเป็นตลาดที่แข่งขันได้แล้วใช่ไหม ยังจะไปลดเสน่ห์ของตัวเองด้วยการเก็บภาษีหุ้น ทั้งที่คู่แข่งยังคงไม่เก็บไปทำไม
ตลาดทุนไม่ใช่มีขาเดียวแค่ตลาดหุ้น แต่ยังมีตลาดตราสารหนี้ 2 ล้านล้านบาท ที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นใช้เป็นที่ระดมทุนอีกทางหนึ่งด้วย
คุณทำให้ตลาดหุ้นกลายเป็นตลาดร้าง ย่อมส่งผลกระทบให้เกิดความซบเซาในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งเปรียบเสมือน “คู่แฝด” กันตามไปด้วย
ทำไปทำไม ได้ไม่คุ้มเสีย! หวังจะได้เห็นการทบทวนเป็นของขวัญก่อนรัฐบาลชุดนี้ลาโรงในเร็ววันนี้