พาราสาวะถี
มันไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอนที่สองศุภชัยของพรรคภูมิใจไทย มือกฎหมายสำคัญของพรรค จะออกมาเรียกร้องในวันเดียวกัน
มันไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอนที่สองศุภชัยของพรรคภูมิใจไทยคือ ศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 และ ศุภชัย ใจสมุทร มือกฎหมายสำคัญของพรรค จะออกมาเรียกร้องในวันเดียวกันให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยุบสภาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีรัฐมนตรีมาตอบกระทู้ของสภา และ ส.ส.ซีกรัฐบาลก็ไม่อยู่เป็นองค์ประชุม ทำให้สภาล่มซ้ำซาก ตรงนี้มันเป็นภาพสะท้อนของความอึดอัดและรำคาญเป็นอย่างยิ่งต่อการเล่นเกมภายในระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล
เสียงเพรียกให้ยุบสภาที่มาจากปากของระดับนำพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญเช่นนี้ ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่ท่วงทำนองที่ใช้ความรู้ของแต่ละคนมาเรียกร้องเพื่อให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจคืนอำนาจให้กับประชาชนอย่างแน่นอน แต่มันต้องเป็นความเห็นร่วมภายในพรรคที่มี อนุทิน ชาญวีรกูล กุมบังเหียนอยู่ หากจะหาสาเหตุหลักที่ทำให้ภูมิใจไทยไม่ต้องการไปต่ออีกแล้ว คงเป็นปัญหาร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่จบเห่กันในรัฐบาลนี้ ไม่มีทางที่จะผลักดันให้สำเร็จได้เป็นอันขาด
นั่นหมายความว่า จะต้องนำกฎหมายฉบับนี้ไปบรรจุเป็นนโยบายหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อที่จะขอโอกาสกลับมาสานต่อ ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนการส่งซิกที่จะต้องตัดขาด สะบั้นความสัมพันธ์กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแบบเต็มตัว มีหรือที่พรรคพลังดูดจะอ่านเกมการเมืองไม่ออกว่าเลือกตั้งครั้งใหม่ประชาชนต้องการอะไร หากไม่ยอมเปลี่ยนแปลง หากยังจับมือและแสดงท่าทีผูกมิตรกับขั้วการเมืองเดิม ที่ตั้งความหวังว่าจะได้ ส.ส.เกินร้อยนั้นไม่มีทางเป็นไปได้
ความจริงก็ไม่น่าจะมากถึงขนาดนั้น แต่ความเป็นไปได้ที่จะกวาดเก้าอี้เข้าป้ายมาอันดับสองนั้นมันก็มีอยู่สูง แม้ว่าจะต้องขับเคี่ยวกับพรรคก้าวไกลและพลังประชารัฐก็ตาม สถานการณ์ทางการเมืองถึงเวลานี้กูรูข้างกายผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจรู้ดีว่า มันคือการนับถอยหลังรอเพียงแค่ กกต.ประกาศเขตเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อยก็จะมีการยุบสภาทันที เห็นได้จากบทสัมภาษณ์ของ วิษณุ เครืองาม ที่บอกว่า รัฐบาลจะไม่เสนอกฎหมายอะไรเข้าสู่ที่ประชุมสภาอีกแล้ว
ไม่ได้หมายถึงรัฐบาลไม่มีกฎหมายสำคัญอะไรที่จะต้องเสนอ แต่เป็นเรื่องที่หากเสนอกฎหมายเข้าไปในบรรยากาศที่สภาล่มซ้ำซากแบบนี้ มันก็จะเป็นเหตุให้นำไปสู่การยุบสภาได้ทันที หากกฎหมายที่รัฐบาลเสนอไม่ผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมสภา กระนั้นก็ตาม มีเรื่องที่จะต้องติดตามกัน นั่นก็คือ การอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์นี้ น่าสนใจทั้งในประเด็นที่จะมีการทำให้องค์ประชุมไม่ครบตบหน้าฝ่ายค้านหรือไม่
หรือพรรคร่วมรัฐบาลจะพร้อมใจกันเป็นองค์ประชุม เพื่อเป้าหมายที่จะมี ส.ส.ในพรรคบางคนใช้เอกสิทธิ์ส่วนตัวร่วมอภิปรายกับฝ่ายค้านเพื่อไม่ไว้วางใจผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ หรือรัฐมนตรีบางคนของพรรคร่วมรัฐบาลอื่น เช่น สัญญาณที่ส่งมาจากศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทยที่ระบุว่า ยังคิดอยู่ว่าจะร่วมซักฟอกกับพรรคฝ่ายค้านหรือไม่ แม้ความจริงจะอ่านได้ไม่ยากว่านี่เป็นเกมการบีบเพื่อหยั่งท่าทีหวังจะเห็นปาฏิหาริย์ที่พรรคสืบทอดอำนาจหรือประชาธิปัตย์จะหันกลับมาสนับสนุนกฎหมายกัญชา
น่าจะเป็นไปได้ยาก อย่าลืมว่าพรรคฝ่ายค้านก็จองกฐินที่จะซักฟอกรัฐมนตรีของภูมิใจไทยอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในฐานะเลขาธิการพรรค ซึ่งอาจจะรวมไปถึงเสี่ยหนูที่นาทีนี้มีประเด็นร้อนเรื่องการย้าย นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง เหมือนเป็นการเอาคืนก่อนรัฐบาลจะหมดวาระ เพราะถูกหมอสุภัทรเตะตัดขาเรื่องต่าง ๆ ที่กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการมาโดยตลอด
งานนี้จากเดิมที่คิดว่าจะมีการยุบสภาหนีซักฟอก กลายมาเป็นได้ลุ้นกันว่าซักฟอกแล้วองค์ประชุมจะล่มหรือไม่ หรือจะมีใครถูกลากขึ้นเขียง สาวไส้ให้ประชาชนจดจำ ทำลายความนิยมก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มตัว ทุกอย่างมีการสับขาหลอกอยู่ตลอดเวลา ที่ทีมกุนซือผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกลัวที่สุดคือ จะถูกดัดหลังด้วยการถูกจับขึงพืดซักฟอกเพียงคนเดียว โดยมีบรรดา ส.ส.ในซีกรัฐบาลเองร่วมอภิปรายกับฝ่ายค้านด้วย ยิ่งมีปมทุจริตทั้งในแวดวงคนมีสีและสีกากีที่ตัวเองดูแลทั้งหมด ยิ่งทำให้เสียวสันหลัง
เหมือนที่ย้ำมาต่อเนื่อง ความน่ากลัวในปลายสมัยของรัฐบาล โดยเฉพาะกับรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจที่มีข้าราชการจำนวนไม่น้อยถูกกดหัว ไม่มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมา ย่อมมีโอกาสที่จะมีข้อมูลลับส่วนหนึ่งถูกส่งไปถึงมือฝ่ายค้านเพื่อนำไปประจาน สิ่งที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมานานก็จะถูกตีแผ่ การได้ข้อมูลเชิงลึกชนิดที่รู้กันอยู่ว่าต้องใจถึง กล้าทุ่มนั้น ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ทำให้เห็นมาแล้วกับการเดินหน้าแฉที่เป็นอยู่ในเวลานี้
ไม่เพียงเท่านั้น ความที่น้องเล็กได้ตัดขาดกับพี่ใหญ่บนถนนทางการเมืองอย่างสิ้นเชิงแล้ว การแข่งขันที่เต็มไปด้วยการหักเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบมีให้เห็นถี่ยิบ ผ่านการลงพื้นที่ทั้งตรวจราชการและการไปหาเสียงเปิดตัวผู้สมัคร นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าการเมืองหลังเลือกตั้ง ทิศทางที่จะโน้มเอียงไปในทางเกิดการเปลี่ยนแปลงจึงมีความเป็นไปได้มาก การเจรจาว่าด้วยพรรคร่วมรัฐบาลหลังการเลือกตั้งผ่านมือประสานของพรรคการเมืองต่าง ๆ นั้น ทราบว่าขณะนี้คืบหน้าไปมากแล้ว
บรรดาผู้รู้ทั้งหลายแหล่ แม้แต่ผู้ถือหางฝ่ายอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง ยังต้องยอมรับความจริงว่า กระแสของความเปลี่ยนแปลงนั้นมันยากที่จะต้านทาน นั่นเท่ากับว่า การอยู่ยาวของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจถึงคราวต้องรูดม่านปิดฉาก เพียงแต่ว่าเงื่อนไขของการเจรจาเวลานี้มันอยู่ที่ตัวละครลับอันเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย นอกเหนือจาก แพทองธาร ชินวัตร กับ เศรษฐา ทวีสิน ถ้าคนที่สามเปิดชื่อมาแล้วไม่ใช่สมาชิกพรรคและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายก็จะเป็นการตอกย้ำกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจว่า “มันจบแล้วครับนาย”