พาราสาวะถีอรชุน
ออกอาการเป๋ไปไม่เป็นกันทั้งพี่ใหญ่และน้องเล็ก พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับปมทุจริตอุทยานราชภักดิ์ เดิมทีคาดหวังว่าทุกอย่างจะจบตั้งแต่วันศุกร์สองสัปดาห์ก่อนหลังการแถลงของ พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. แต่เมื่อเป็นการพูดปากเปล่าไร้ซึ่งหลักฐานเอกสารใดๆ มายืนยัน คำถามและความคลางแคลงใจจึงยังคงมีอยู่ต่อไป
ออกอาการเป๋ไปไม่เป็นกันทั้งพี่ใหญ่และน้องเล็ก พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับปมทุจริตอุทยานราชภักดิ์ เดิมทีคาดหวังว่าทุกอย่างจะจบตั้งแต่วันศุกร์สองสัปดาห์ก่อนหลังการแถลงของ พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. แต่เมื่อเป็นการพูดปากเปล่าไร้ซึ่งหลักฐานเอกสารใดๆ มายืนยัน คำถามและความคลางแคลงใจจึงยังคงมีอยู่ต่อไป
เป็นการคงอยู่ของความสงสัยที่ไหลลามไปถึงผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เหตุใดจึงปกป้องจนถูกมองกันว่าปกปิดอะไรบ้างหรือไม่ สุดท้ายหนีไม่ออก บิ๊กป้อมต้องสั่ง พลเอกปรีชา จันทร์โอชา น้องชายร่วมสายโลหิตของนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเพื่อให้เกิดความกระจ่าง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั่งยันนอนยันมาโดยตลอดว่าเป็นเรื่องของกองทัพบกไม่เกี่ยวกับรัฐบาล
อาการเสียรังวัดประการต่อมาเป็นเรื่องของความพยายามที่บอกว่างบประมาณที่ดำเนินการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ไม่เกี่ยวกับงบแผ่นดินเป็นเงินบริจาคทั้งสิ้น แต่เมื่อทุกอย่างมีหลักฐานมันก็ต้องจำนน ทั้ง ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม และ พิสิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ประธานคตง.และผู้ว่าฯสตง.ประสานเสียง ผลการตรวจสอบพบว่ามีการใช้งบกลางจำนวน 63.57 ล้านบาทในการดำเนินโครงการดังกล่าว
โดยมีการโอนเงินให้กรมยุทธโยธาทหารบกเป็นผู้ดำเนินการ เปิดกันมาขนาดนี้ก็หนีไม่ออกทั้งบิ๊กตู่และบิ๊กป้อมต้องยอมรับอย่างเสียมิได้ ถ้าถามถึงความเชื่อถือเชื่อมั่นของประชาชนจากเดิมที่มีเต็มร้อยต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลคสช. นาทีนี้ชักจะไม่แน่เสียแล้วและบางรายอาจคิดไปไกลถึงขั้นที่ว่าขนาดโครงการที่ยิ่งใหญ่และเป็นเหมือนศูนย์รวมใจของคนไทยทั้งชาติ ยังกล้าโกงกันขนาดนี้ ดังนั้น โครงการอื่นๆ ที่มีข่าวคราวจากที่ไม่เชื่อก็กลายเป็นเรื่องตรงข้าม
ส่วนที่โฆษกรัฐบาล สรรเสริญ แก้วกำเนิด ออกมาคุยฟุ้งแม้จะมีข่าวขนาดนี้ยังมีประชาชนไปเยี่ยมชมอุทยานราชภักดิ์อย่างต่อเนื่อง น่าจะเป็นคนละเรื่องกันไปลองให้ใครไปสุ่มถามล่ะว่าที่มากันนั้น เพื่อชื่นชมความยิ่งใหญ่โดยไร้ข้อกังขา หรือมาเยี่ยมชมแล้วตามมาด้วยคำติฉินนินทา อย่าทำตัวเป็นเหมือนคราวพูดถึงเรื่องผังล้มเจ้ากำมะลอ
เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ปัญหาลดทอนความน่าเชื่อถือของผู้มีอำนาจตามมาเป็นระลอก ล่าสุด เป็นปมเรื่องการออกหมายจับและจับกุมตัวผู้ต้องหาคดีความผิดตามมาตรา 112 และวางแผนลอบสังหารผู้นำ ในนามกลุ่มขอนแก่นโมเดล เพราะดันไปปรากฏว่า 1 ใน 9 ผู้ต้องหาปัจจุบันนี้ยังถูกขังอยู่ในคุก แล้วจะไปร่วมวางแผนก่อเหตุร้ายได้อย่างไร
มองมิติไหนไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ว่าจะคุยกันตอนญาติมาเยี่ยมยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ถ้าจะบอกว่าใช้ไลน์ ใช้เฟซบุ๊กหรือคุยโทรศัพท์ นั่นยิ่งจะต้องไปสอบสวนเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ว่าปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้อีกเช่นเดียวกัน คงไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนยอมพลีชีพตัวเองเพื่อปกป้องหน้าตาให้เจ้านาย
สำหรับผู้ต้องหารายนี้คือ ธนกฤต ทองเงินเพิ่ม ที่เพิ่งมอบหมายให้ เบญจรัตน์ มีเทียน ทนายความผู้รับมอบอำนาจเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อเอาผิดกับพลตรีวิจารณ์ จดแตง ฝ่ายกฎหมายคสช. และ พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร.และคณะพนักงานสอบสวนคดีนี้ทั้งหมด ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
โดยทนายความยืนยันว่าธนกฤตรับโทษอยู่ในเรือนจำจังหวัดขอนแก่น ตั้งแต่ปี 2557 ในความผิดเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง และขณะนี้รับโทษในความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะกระทำผิดตามที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา นอกจากนั้น การควบคุมตัวธนกฤตภายในเรือนจำจังหวัดขอนแก่นมีความเข้มงวด ไม่สามารถพบปะหรือวางแผนร่วมกับบุคคลภายนอกได้
ไม่รู้ว่าปมเช่นนี้จะเรียกว่าเป็นความมักง่ายของพนักงานสอบสวนได้หรือไม่ หรือเข้าใจว่าธนกฤตเคยได้รับการประกันตัวมาจากคดีการชุมนุมทางการเมืองแล้ว แต่ไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลต่อจึงไม่รู้ว่ามีการถูกดำเนินคดีอื่นเพิ่ม งานนี้ไปถามท่านผู้นำคงไม่ได้รับคำตอบที่เป็นเหตุเป็นผล น่าจะโยนให้ผู้ที่รับผิดชอบเป็นฝ่ายชี้แจงเอง
ทางด้าน จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.ก็เปิดข้อมูลอีกด้านระบุถึงพิรุธในการจับกุมผู้ต้องหาสองคนก่อนหน้าคือ จ่าสิบตำรวจประทิน จันทร์เกศ กับ ณัฐพล ณวรรณ์เล โดยรายของณัฐพลมีการนำกำลังถึง 4 คันรถกว่า 30 คนไปตรวจค้นบ้านพักตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งณัฐพลถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จัดหาและรวบรวมอาวุธให้กับจ่าสิบตำรวจประทิน
ปรากฏว่าการค้นบ้านณัฐพลด้วยเครื่องตรวจโลหะพร้อมสุนัขดมกลิ่นถึง 2 วันติดต่อกัน ไม่พบอาวุธใดๆ แต่กลับบอกแม่ของณัฐพลว่าขอยืมลูกชายก่อน เดี๋ยวเอามาคืน จึงเกิดคำถามว่า กระบวนการยุติธรรมมีกฎหมายการยืมตัวแบบนี้ด้วยหรือ ส่วนจ่าสิบตำรวจประทินที่ถูกกล่าวหาเป็นผู้วางแผน เป็นผู้นำขอนแก่นโมเดล
ในมุมของประธานนปช.เห็นว่า จ่าสิบตำรวจประทินเป็นคนแก่เกษียณจากตำรวจตระเวนชายแดน และเป็นคนตกงานที่สิ้นหวังคนหนึ่ง ตำรวจแถลงเรื่อยเปื่อยว่า เตรียมการช่วยธนกฤตแหกคุกขอนแก่น แล้วไปยึดค่ายทหารที่ใหญ่โตมากในขอนแก่น คนเหล่านี้เป็นคนแก่ คนเคยติดคุกข้อหายาเสพติดและคนที่ถูกคุมขังในเรือนจำจะมีศักยภาพไปยึดค่ายทหารอย่างนั้นหรือ
แน่นอนว่า ในแง่ของความไม่ชอบมาพากลต่างๆ เป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจจะต้องอธิบายให้สังคมเชื่อและเข้าใจ แต่ถ้าให้อ่านจากปรากฏการณ์ของข่าวที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่านี่จะเป็นภาพสะท้อนความล้มเหลวในการสร้างความปรองดองให้กับบ้านเมืองภายใต้รัฐบาลทหารและคณะรัฐประหารหรือไม่ ถ้าเช่นนั้นหมายความว่าความเกลียดชัง การปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกยังคงมีอยู่
ซึ่งก็น่าแปลกใจเพราะกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างที่เห็นว่าไม่มีใครสามารถขยับขับเคลื่อนกิจกรรมใดๆ ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องย้อนกลับไปยังผู้ใช้อำนาจที่แม้เรื่องความชอบธรรมของผู้ที่มีอาจเป็นเครื่องหมายคำถาม แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ติดใจ ที่เป็นปัญหาใหญ่และตอกย้ำมาโดยตลอดก็คือ “ความยุติธรรม” ทุกหนทุกแห่งในโลกนี้หากอำนวยความยุติธรรมให้กับทุกกลุ่มทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมความขัดแย้งย่อมจะไม่เกิด เว้นเสียแต่ที่ใดมีอภิสิทธิ์ชนและคนถูกกดทับ ที่นั่นแหละที่บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ