‘OR’ 2 ปีที่น่าผิดหวัง
OR เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครบรอบ 2 ปีเมื่อวันที่ 2 ก.พ.66 การคาดการณ์ของนักลงทุนในวันนั้น กับ ณ วันนี้ ถือว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) หรือ “โออาร์”
เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครบรอบ 2 ปีเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566
การคาดการณ์ของนักลงทุนในวันนั้น กับ ณ วันนี้
ถือว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เข้าเทรดวันแรกของโออาร์ช่วงเปิดตลาด ราคาลดลงไปต่ำสุด 22.10 บาท และขึ้นมาสูงสุด 29.50 บาท
ก่อนจะมาปิดที่ระดับ 29.25 บาท
ถัดมาอีก 2-3 วัน
ราคาหุ้นโออาร์ทะยานขึ้นไปต่อเนื่อง
ราคาหุ้นขึ้นไปสูงสุดถึง 36.50 บาท
มีนักลงทุนรายใหญ่ รายย่อย เข้ามาเทรดกันคึกคัก
ด้วยความคาดหวังกับแผนธุรกิจของโออาร์ที่นอกเหนือจากค้าปลีกน้ำมันแล้ว
ยังคาดหวังกับธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันอย่างค้าปลีกที่ประเมินว่า โออาร์น่าจะขึ้นมาเป็นยักษ์ในวงการธุรกิจค้าปลีก เทียบกับบรรดาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของไทย
ทว่า ผ่านมาจนถึงวันนี้
“ความหวัง” กลายเป็นเหลือแค่ “ความฝัน”
ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันของโออาร์ไม่สามารถสร้างกำไรหรือหามาร์จิ้นได้อย่างที่ควรจะเป็น
เมื่อมีการเข้ามาแทรกแซงจากภาครัฐกับ “ค่าการตลาด” ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดทะยานขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนแผนการรุกในธุรกิจค้าปลีกของโออาร์
มีเพียงการเข้าซื้อกิจการขนาดทีไม่ได้ใหญ่มาก
และกิจการเหล่านั้น ยังไม่ได้สร้างรายได้ และกำไรอย่างมีนัยสำคัญให้กับโออาร์
ล่าสุด ผลประกอบการไตรมาส 3/65 ของโออาร์
EBITDA Margin ของธุรกิจค้าปลีก (ไม่ใช่น้ำมัน) กลับลดลง ทั้งที่ควรจะเพิ่มขึ้น
นั่นทำให้ความหวังของนักลงทุนที่จะให้โออาร์ฝากไว้กับธุรกิจค้าปลีก (แม้จะยังมีขนาดเล็ก ๆ) กลับ “พังทลาย”
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/65
มีการวิเคราะห์กันว่า ตัวเลข EBITDA Margin ในธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันจะลดลงจากไตรมาสก่อน ด้วยเหตุผลต้นทุนวัตถุดิบและโฆษณาที่สูงขึ้นของธุรกิจค้าปลีก
และที่เลวร้ายกว่านั้น
บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ที่ต่าง ๆ
ค่อนข้างคาดการณ์ไปในแนวทางเดียวกันว่า ไตรมาส 4/65 “โออาร์จะขาดทุน”
ทำให้มีการปรับลดราคาเป้าหมายของโออาร์ลงมาค่อนข้างมาก
ส่งผลราคาหุ้นปรับลดลงต่อเนื่อง
แต่ยังลงมาไม่เท่ากับจุดต่ำสุด (22.10 บาท) ในวันแรกที่เข้าเทรด
โออาร์ หากเราจะคาดหวังกับเรื่องค้าปลีกน้ำมัน
คงเป็นเรื่องยาก เพราะทราบกันดีว่า น่าจะมีการเข้าแทรกแซงเรื่องราคาน้ำมันจากภาครัฐไปเรื่อย ๆ
ส่วนธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน
คล้ายกับว่า โออาร์จะโพสิชั่นตัวเองไปทางด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ร้านสะดวกซื้อ (CVS) มากกว่าที่จะดันตนเองขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่วงการธุรกิจค้าปลีก
ส่วนการให้บริการเกี่ยวกับสถานีชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
ยังคงไม่น่าจะสร้างรายได้และกำไรอย่างมีนัยสำคัญได้ในช่วงนี้
ก่อนหน้านี้ เคยเขียนไปแล้วว่า
หากดีลธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันของโออาร์ ถ้าจะให้ดูน่าสนใจจริง ๆ
ฟังแล้วจะต้องร้อง “ว้าว”
คือต้อง “บิ๊ก” จริง ๆ เท่านั้น