เขย่าหุ้นจนหลอน?

วานนี้เป็นอีกครั้งที่บรรดาแฟนคลับเกิดอาการตระหนก หลังนักเล่นกลุ่มสถาบันกระหน่ำขายหุ้นตั้งแต่เปิดเทรด จนดัชนีร่วงลงไปมากถึง 12 จุด


วานนี้เป็นอีกครั้งที่บรรดาแฟนคลับเกิดอาการตระหนก หลังนักเล่นกลุ่มสถาบันกระหน่ำขายหุ้นตั้งแต่เปิดเทรด จนดัชนีร่วงลงไปมากถึง 12 จุด และกลายเป็นช็อตต่อเนื่องจากวันก่อนที่ร่วงลงมา 10 จุด พร้อมกับมีคำอธิบายออกมาเป็นระลอกในทำนองรู้สึกผิดหวังกับผลงานของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมา จึงต้องตัดขายหุ้นลดความเสี่ยงออกไปก่อน และขอเวลาไปตั้งหลักเพื่อเข้าซื้อรอบใหม่นะจ๊ะ

ตรงนี้เป็นประเด็นที่อยากทำความเข้าใจกับแฟนคลับว่า sell on fact อาจเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงก็จริง แต่ทันทีที่ราคาหุ้นตอบรับในระดับหนึ่ง ก็จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาใหม่อย่างแน่นอน “โมนิก้า” ถึงกล้าพูดแบบไม่เหนียมอายว่า ระวังตกขบวน! เพราะวันนี้ทุกคนมองเหมือนกันว่า ไตรมาส 1 กำไรของบริษัทจดทะเบียนฟื้นแน่ ๆ จึงน่าจะเป็นแรงผลักดันให้ดัชนีเดินหน้าขึ้นไปใหม่ก็เท่านั้นเอง

ถึงกระนั้นต้องยอมรับว่า หากดัชนีหลุดแนวรับสุดท้ายบริเวณ 1,650 จุด ก็ต้องรีบใส่เกียร์สุนัขเช่นกัน “โมนิก้า” ถึงมองการทรุดตัวลงแรงตั้งแต่เช้า แต่ดีดกลับแรงในช่วงภาคบ่าย ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 1,669.17 จุด ลบไป 1.17 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.34 หมื่นล้านบาท จึงกลายเป็นช็อตของการซื้อสวนเพื่อเล่นสั้น ๆ และที่ผ่านมาพวกสถาบันก็ชอบเล่นแนวนี้ทั้งนั้น เลยต้องจับทางรูปแบบการเล่นเหล่านี้ให้ออกเจ้าค่ะ

เหมือนกับการไล่ราคาเป็นช่วง ๆ ที่เกิดขึ้นกับหุ้น PTTGC ก็มาจากความคาดหวังเรื่อง “เทิร์นอะราวด์” จึงกลายเป็นหุ้นที่สถาบันเข้ามาเล่นเป็นช่วง ๆ “โมนิก้า” ถึงรู้สึกเฉย ๆ เมื่อเห็นราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 50.50 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 1% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 950 ล้านบาท เพราะในความเป็นจริงก็เห็นกันทนโท่ว่า ธุรกิจปิโตรเคมีผ่านยุคตกต่ำกันมาแล้ว ต่อจากนี้จะเป็นยุคฟื้นตัวนะคะ

อีกรายที่โดนถล่มจนโงหัวไม่ขึ้น “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นปลากระป๋อง TU หลังราคาหุ้นไหลลงมาเรื่อย ๆ จนวานนี้ลงมายืนปิดที่ระดับ 15.80 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 1.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 668 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 9 เท่าแบบนี้ เดี๊ยนมองไม่ออกจริงว่า นี่เป็นผลมาจากความกังวลเรื่อง ยอดขาย ค่าเงิน หรือกำไร กันแน่! เพราะเมื่อดูจากลู่ทางธุรกิจในปี 66 ก็น่าจะดีขึ้นไม่ใช่เหรอ?..ใครรู้ช่วยตอบทีเถอะค่ะ

คล้ายกับสถานการณ์ของหุ้น TIDLOR ก็มีมุมที่ทำให้ต้องคิดมากเช่นกัน เพราะเมื่อดูจากความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น และได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง ราคาหุ้นน่าจะไปต่อสวย ๆ ได้แบบสบายบรื๋อ! แต่เอาเข้าจริง..ก็ทำได้แค่ยืนปิดที่ระดับ 29.50 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 1.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 425 ล้านบาทแบบนี้ แสดงว่า หุ้นลีสซิ่งยังไม่เป็นที่ต้องการของนักเล่นกระมัง..อิอิอิ

เม้าท์ถึงประเด็นดังกล่าวขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” คงต้องเอ่ยถึงหุ้น STARK เพื่อชี้ให้เห็นการโรยตัวลงมารอบใหม่ น่าจะสะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนยังกังวลกับแผนธุรกิจที่จะทำให้บริษัทเติบโต ซึ่งจะเป็นแกนหลักที่เข้ามาชดเชยการไดลูท เดี๊ยนถึงต้องพูดแบบเป็นกลาง ๆ ว่า มั่นใจในตัว “พี่โอ้” กับ “พี่เอ” หรือเปล่า? เพราะคำตอบตรงนี้จะเป็นตัวบอกให้รู้ว่า ควรทำอย่างไร? หลังราคาหุ้นไหลงมาปิดที่ 2.82 บาท ลบไป 0.06 บาท หรือลงไป 2.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 261 ล้านบาทน่ะซี

เช่นเดียวกับอาการเมาหมัดที่เกิดขึ้นกับราชาเงินผ่อนอย่าง SINGER ก็มีประเด็นที่ทำให้ต้องคิดเช่นกันว่า สาเหตุที่ทำให้แรงขายไม่แผ่วเลยนั้น ก็มาจากความกังวลเรื่องโกรทเป็นประเด็นสำคัญ และเรื่องนี้กำลังกัดกร่อนความมั่นใจของผู้เล่นมากขึ้นเรื่อย ๆ แถมกำลังซื้อของรากหญ้าลดลงจริง ๆ จึงทำให้การยืนปิดที่ระดับ 27.50 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 1.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 140 ล้านบาท น่าเสียวไส้สุด ๆ พะย่ะค่ะ

ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” นึกถึงหุ้น MTW ขึ้นมาทันที เพราะจนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่า กำไรมาไหม? เพราะมีแต่แมงโม้ช่วยกระพือข่าวกันให้ว่อน เดี๊ยนจึงอยากถามว่า การที่หุ้นขึ้นมายืนปิดในระดับ 6.40 บาท บวกไป 0.40 บาท หรือขึ้นไป 6.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 67 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 117 เท่า พ่วงด้วยความฝันมอไซค์ไฟฟ้ามาแน่นั้น!..มันเป็นเรื่องที่ฝากความหวังได้จริงเหรอวิ!

Back to top button