มองตลาดหุ้นไทยปรับฐานเดือน ก.พ.

การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกินคาดมาก ขณะที่อัตราว่างงานลดลงต่ำสุดในรอบ 53 ปี ด้านรายได้เฉลี่ยรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 4.7%


InnovestX มองว่าการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกินคาดมาก ขณะที่อัตราว่างงานลดลงต่ำสุดในรอบ 53 ปี ด้านรายได้เฉลี่ยรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 4.7% ในเดือน ม.ค. จากปีก่อนหน้า เร่งตัวจาก 3.6% ในเดือน ธ.ค. บ่งชี้ว่า ภาพตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะภาคบริการ ทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อจากค่าจ้างเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น โดยตัวเลขการจ้างงาน non farm ที่เพิ่มขึ้นมากและขัดแย้งกับตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน (ADP) ที่ชะลอแรงกว่าคาด (1.1 แสนตำแหน่งจากคาดที่ 1.7 แสนตำแหน่ง)

บ่งชี้ว่าธุรกิจที่จ้างงานมากน่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจบริการมากกว่า ซึ่งในระยะสั้นยังได้รับประโยชน์จากเงินออมส่วนเกินที่ยังมีอยู่ และผู้คนอาจจะออกมาจับจ่ายในช่วงต้นปี ทำให้มี demand ของแรงงาน Unskilled worker ภาคบริการ แต่ระยะต่อไป เมื่อเศรษฐกิจชะลอมากขึ้น ก็อาจนำมาสู่การปลดคนงานได้เช่นเดียวกัน

ในส่วนของมุมมองจากประธาน Fed ยังคงมองว่าเงินเฟ้อเริ่มลดลงแล้ว (Disinflationary process has begun) แต่จะใช้เวลายาวนาน เพราะ Disinflation เกิดในตลาดสินค้า ซึ่งเป็น 25% ของเศรษฐกิจสหรัฐ (แต่อีก 75% เป็น Service ซึ่งยังมีเงินเฟ้ออยู่) ดังนั้น ถ้าข้อมูลยังดีต่อเนื่อง เช่น ตัวเลขตลาดแรงงานและ/หรือ เงินเฟ้อยังสูงอยู่ ก็มีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยสูงเกินกว่าคาด ซึ่ง InnovestX มองว่า การที่ประธาน Fed เน้นว่าเงินเฟ้อเริ่มลง แม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะหมดนั้น เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งภาพเงินเฟ้อจะอยู่ระดับสูงยาวนานขึ้น ประกอบกับ ตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวที่ดูแข็งแกร่งขึ้น ทำให้ Fed ต้องคงดอกเบี้ยสูงมากขึ้น และ/หรือขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง

ภาพดังกล่าว ทำให้ InnovestX เชื่อว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยถึงระดับ 5-5.25% หรือสูงกว่านั้น และมองว่าในระยะต่อไป ความผันผวนในตลาดจะมีมากขึ้น จากความเสี่ยงเงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ย และต้นทุนการเงินที่จะกลับมาเพิ่มขึ้น รวมถึงผลประกอบการที่อาจเริ่มแย่ลงมากขึ้น

ส่วนภาพตลาดหุ้นไทย InnovestX มองว่าดัชนีจะอยู่ในช่วงปรับฐานและมี Upside จำกัด หลังตลาดมี Valuation ค่อนข้างตึงตัว อีกทั้งยังขาดปัจจัยหนุนการลงทุนใหม่ ๆ และอยู่ระหว่างรอดูผลประกอบการไตรมาส 4/65 ของ Real Sector ที่จะกำลังทยอยประกาศออกมา ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ โดยเน้นรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ไม่ไล่ราคา ดังนี้

1)หุ้นที่มองไม่ต้องระวังแรงขายจากต่างชาติ (ปี 65 ต่างชาติขายสุทธิหรือซื้อสุทธิน้อย) ขณะที่ปี 66 จากต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติเริ่มพลิกซื้อสุทธิหรือซื้อต่อเนื่อง เลือก SCC, AMATA, ERW

2)หุ้นที่ราคายัง Laggard โดยมี PBV ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี และปี 2566 คาดกำไรเติบโตดีจากงวดเดียวกันของปีก่อน อีกทั้ง Valuation ยังน่าสนใจ เลือก CPF, GPSC, SCGP, HMPRO

3)สำหรับนักลงทุนที่ชอบหุ้นปันผล แนะนำหุ้นที่คาดหลังรายงานงบปี 2565 จะประกาศจ่ายปันผล โดยให้ Div. Yield ปี 65 (หักที่จ่ายระหว่างกาลไปแล้ว) สูงเกิน 4% และคาดขึ้น XD แล้ว ราคาหุ้นจะยังปรับขึ้นต่อได้จากผลการดำเนินงานที่เติบโตดีในปี 66 เลือก TISCO, SAT, KTB, SCCC

ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำให้ เพิ่มความระมัดระวัง หรือ หลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อน สำหรับหุ้นที่คาดอาจจะเผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ ได้แก่ KBANK, BANPU, PTTEP, EA BH

Back to top button