เสียดายโอกาส FTA
ตลาดหุ้นไทยยามนี้ กำลังเป็นขาลงอย่างแรง เนื่องจาก “ฝรั่งขาย” เงินทุนต่างชาติไหลออก เทกระจาดกันมาตั้งแต่กลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาแล้ว
ตลาดหุ้นไทยยามนี้ กำลังเป็นขาลงอย่างแรง เนื่องจาก “ฝรั่งขาย” เงินทุนต่างชาติไหลออก เทกระจาดกันมาตั้งแต่กลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาแล้ว ยังไม่รู้ว่าการเทขายของต่างชาติจะหยุดเมื่อไหร่
มันก็เป็นธรรมดาล่ะครับ หุ้นที่ราคาวิ่งเกินพื้นฐาน ราคาก็จะร่วงแรง แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะเป็น “โอกาส” อันดีในการเข้าซื้อหุ้นคุณภาพ ที่ราคาหล่นลงมา เข้าทำนอง (ได้) ของดี ราคาถูก
สำหรับตลาดหุ้นแล้ว วิกฤตก็มาคู่กับโอกาสเช่นนี้ล่ะครับ
หันมาดูเรื่องความสามารถทางการค้าต่างประเทศเปรียบเทียบระหว่างไทย-เวียดนาม มีบทสรุปการค้าส่งออกในปี 65 ที่ผ่านมาว่า มูลค่าส่งออกของเวียดนาม ยังคงเหนือกว่าประเทศไทย เข้าใจว่าน่าจะแซงหน้าไทยไปเป็นปีที่ 3 แล้ว
มูลค่าส่งออกของไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 5.5% จากปีก่อน แต่เวียดนามสร้างมูลค่าส่งออกเป็นออลไทม์ไฮเหมือนกันที่ 3.71 แสนล้านเหรียญฯ ขยายตัว 10.6%
อาวุธสำคัญอย่างหนึ่งในการสร้างมูลค่าเพิ่มการส่งออก ก็คือ ข้อตกลงการค้าเสรีหรือ FTA ซึ่งขณะนี้เวียดนามและสิงคโปร์ แซงหน้าไทยไปแล้วหลายขุม
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยเองว่า ประเทศไทยได้จัดทำความตกลงการค้าเสรีไปแล้ว 14 ฉบับ ครอบคลุมชาติคู่ค้าทั้งสิ้น 18 ประเทศ
หากเพิ่มประชาคมยุโรปหรือ EU ได้อีก 1 ฉบับเป็น 15 ฉบับ ก็จะครอบคลุมชาติผู้ค้าเพิ่มขึ้นพรวดเดียวอีก 27 ประเทศเป็น 45 ประเทศ
นั่นคือ มรดกชิ้นสุดท้ายที่รัฐบาลนี้จะส่งมอบไปยังรัฐบาลหน้า แต่มันก็ได้แค่จุดเริ่มต้นที่จะบอกกล่าวไปยังประชาคมอียูเท่านั้น
ส่วนเวียดนามและสิงคโปร์ ได้ปลีกตัวออกจากกลุ่มอาเซียน ไปทำข้อตกลงการค้าเสรีล่วงหน้ากับอียูไปแล้วหลายปี และมูลค่าการส่งออกก็เพิ่มขึ้นมากมายจนแซงหน้าไทยไปแล้วกว่าร้อยละ 30 ในปัจจุบัน
นับเป็นเรื่องน่าเสียดายครับ ที่ในอดีตเป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษมาแล้ว ประเทศไทยเคยเป็นหัวหอกสำคัญในการชูธง FTA เพื่อขจัดความได้เปรียบทางการค้าของประเทศใหญ่ และสร้างโอกาสให้ประเทศเล็ก สามารถทำการค้าได้อย่างทัดเทียม
นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สมัยนั้น ต่างชูธง เรื่อง FTA โดยพร้อมเพียง
ไม่ว่าจะเดินทางไปประเทศไหน หรือไปประชุมในเวทีพหุภาคีแห่งใด ก็มักจะขอเปิดการเจรจาทวิภาคีกับประเทศเป้าหมายอย่างเอาการเอางานเพื่อบรรลุผล FTA
แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ทุกอย่างพังภินท์เอาในเดือน พ.ย. 2549 ที่ “บิ๊กบัง” กระทำการรัฐประหาร หลังจากนั้นจนบัดนี้ ประเทศชาติตกอยู่ในความล้าหลังดักดานอย่างยาวนาน
แนวคิดก้าวหน้าที่จะสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้ประเทศชาติอย่างเช่น การทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ก็ตกน้ำสูญหายตามไปด้วยจนกระทั่งถูกเวียดนามแซงหน้าไปแล้ว
เพราะความคลั่งชาติ เลยล้าหลังโดยแท้ น่าเสียดายเวลาที่หล่นหายไป 17 ปี