ขายทิ้งก่อนไหม?
อันที่จริง “โมนิก้า” เป็นคนมองโลกในแง่บวกเสมอมา แต่เป็นเพราะสถานการณ์ล่าสุดมันบีบคั้นให้เดี๊ยนต้องมองโลกในแง่ร้าย
อันที่จริง “โมนิก้า” เป็นคนมองโลกในแง่บวกเสมอมา แต่เป็นเพราะสถานการณ์ล่าสุดมันบีบคั้นให้เดี๊ยนต้องมองโลกในแง่ร้าย จึงขอเท้าความกลับไปยังเรื่องเม้าท์เก่า ๆ ที่เคยเปรยให้ฟังตั้งแต่ 2 สัปดาห์ก่อนที่เปรยให้ฟังว่า “เขย่าจนหลอน” และตามมาด้วย “ขายหนีตาย” จนวันนี้มาจบที่เรื่อง “ขายทิ้งก่อนไหม?” ล้วนมีสาเหตุมาจากบรรยากาศลงทุนที่ “ตื้อ ๆ ตัน ๆ” เป็นประเด็นสำคัญนะจะบอกให้
ถามว่า ประเด็นดังกล่าวสำคัญขนาดไหน? “โมนิก้า” เม้าท์? ได้ทันทีว่า สำคัญมาก! เพราะมันสื่อให้เห็นจิตใจของนักเล่นกำลังเรรวนอย่างหนัก และพร้อมจะสาดหุ้นเมื่อมีประเด็นมาทำให้ไม่สบายใจ เดี๊ยนถึงไม่แปลกใจที่ดัชนีทรุดฮวบลงมาถึงระดับ 1,643.82 จุด ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 1,651.67 จุด ลบไป 6.62 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.34 หมื่นล้านบาท เพราะมันมีตัวเร่งให้นักลงทุนต้องตัดใจขายขาดทุนอีกครั้งไงล่ะคะ
โดยเฉพาะการกลับลำขายหุ้นของฝรั่งหัวทองในช่วงครึ่งเดือนแรกปาเข้าไป 1.60 หมื่นล้าน พร้อมกับเกิดปรากฏการณ์เงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เดี๊ยนมองตลาดหุ้นไทยในมุมลบในบัดดล หรือแม้กระทั่งแรงกดดันจากการที่ดัชนีดาวโจนส์เหวี่ยงตัวขึ้นลงแรงในกรอบเดิม ๆ ก็เป็นตัวบั่นทอนกำลังใจนักเล่นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกันนะจ๊ะ
งานนี้จริงเท็จประการใด..ก็ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ที่เห็นแน่ ๆ ตอนนี้คือ KBANK กลายเป็นเป้าหมายหลักในการขายของสถาบันไปแล้ว จึงต้องเดาเกมกันต่อไปว่า การลงมาถึงจุดเด้งด้วยการยืนปิดที่ระดับ 138 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 1.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.48 พันล้านบาท จะเกิดการกลับทิศหรือเปล่า? หากไม่เด้งเหมือนที่สัญญาณเทคนิคขีดไว้ มีโอกาสที่จะลงลึกไปถึงฐานที่เคยย่ำบริเวณ 120 บาทอ๊ะป่าว?
เช่นเดียวกับในรายของหุ้นนักร้อง SINGER ก็ไหลลงแบบไม่มีหูรูด จนล่าสุดมายืนปิดที่ระดับ 17.30 บาท ลบไป 1 บาท หรือลงไป 5.45 % ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.21 พันล้านบาท ท่ามกลางค่า PE 15 เท่า และยังมี BV อยู่ที่ระดับ 21.60 บาทแบบนี้ มันเป็นลักษณะลงว่อร์ไปไหม? คุณ ๆ ท่าน ๆ ลองไปคิดเป็นการบ้าน เพราะยังมีข่าวลือที่เม้าท์กันให้แซ่ดทั้งเรื่อง “ฟอร์ซเซล” และ “โตยาก” ขนาบข้างมาด้วย..เลยไม่รู้ว่า ประเด็นไหนสำคัญกว่ากันน่ะซี
ส่วนรายที่ประหลาดสุด ๆ “โมนิก้า” คงมองไปที่ BEM หลังโดนสาดทิ้งแบบไม่บอกเล่าเก้าสิบ จนหุ้นลงมากองอยู่ที่ระดับ 9.15 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 3.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.19 พันล้านบาท มันสวนทางกับความจริงที่เกิดขึ้นมาก ๆ เพราะเมื่อดูจากจำนวนรถที่ใช้ทางด่วน และจำนวนผู้โดยสารรถไฟใต้ดินที่หนาแน่นสุด ๆ มันทำให้เชื่อว่า ผลงานของบริษัทน่าจะออกมาดีใช่ไหม (ส่วนข้ออ้างสายสีส้มล่าช้า กระทบกำไรฟังขึ้นขนาดไหน ก็คิดกันเองแล้วกัน) ถ้าทิ้งไม่มีเหตุผลแบบนี้ ก็ต้องหนีตายเหมือนกันจ้า!
สำหรับรายที่ออกอาการไม่ค่อยดี และมีแนวโน้มจะลงเรื่อย ๆ “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น AIT เพื่อชี้ให้เห็นการทรุดตัวลงมาปิดที่ระดับ 6.05 บาท ลบไป 0.35 บาท หรือลงไป 5.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 94 ล้านบาท มันทำให้เชื่อว่า หุ้นจะกลับไปที่ฐานเก่าบริเวณ 5.50 บาทอีกครั้ง เดี๊ยนถึงอยากบอกแฟนคลับว่า ในเมื่อเห็นกำไรไม่โตกันทนโท่ หุ้นก็ควรจะไหลลงไปก่อน ต่อจากนั้นถึงจะเด้งกลับมีเห็นแนวโน้มกำไรโตใช่หรือเปล่า?..คิดซิ..คิดซิ
อีกรายที่มีอาการง่อนแง่นอย่างรุนแรง “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น ASK แบบไม่ลังเลใจ เพราะเป็นหุ้นลีสซิ่งอีกหนึ่งตัวที่เห็นกันทนโท่ว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเริ่มโตยากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้นักลงทุนรินหุ้นออกมาตลอดเวลา จนล่าสุดลงมายืนปิดที่ระดับ 30.25 บาท ลบไป 0.75 บาท หรือลงไป 2.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 109 ล้านบาท มันคือวิบากกรรมที่ต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะหุ้นลีสซิ่งตัวอื่น ๆ ก็เจอแบบนี้..อิอิอิ
ส่วนหุ้นเทคที่ทำให้แมงเม่าโซแซดอย่างหนัก และหุ้นเริ่มเป๋อย่างต่อเนื่อง คงต้องมองไปที่หุ้น BBIK เพราะราคาหุ้นไหลลงต่อเนื่อง 6 วันติด ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 111.50 บาท ลบไป 6 บาท หรือลงไป 5.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 130 ล้านบาท ทั้งที่กูรูสำนักต่าง ๆ ฟันธงไว้ว่า ปีนี้โตต่อแน่นอน “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นตัดสินใจกันเอาเองว่า ราคาหุ้นลงมาขนาดนี้..ยังต้องคัทลอสอีกไหมจ๊ะ