พาราสาวะถี
ถามกันมากว่าเหตุใดผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ จึงย้ำเป็นมั่นเหมาะว่าจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าจะยุบสภาวันไหน
ถามกันมากว่าเหตุใดผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ จึงย้ำเป็นมั่นเหมาะว่าจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าจะยุบสภาวันไหน เมื่อคำนวณเวลาตามข้อกฎหมายกรณีเลือกตั้งหลังยุบสภา กกต.จะต้องดำเนินการภายในระยะเวลา 45-60 วัน นั่นก็หมายความว่า ก่อนวันที่ 7 มีนาคมนี้จะไม่มีการยุบสภาเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ส่วนเหตุผลที่ฝ่ายกุมอำนาจอยากจะให้จัดเลือกตั้งตามวันที่ กกต.เสนอนั้น มองในแง่ความพร้อมของพรรครวมไทยสร้างชาติก็ถือว่ารับผลประโยชน์กันเต็มที่
อย่าลืมเป็นอันขาดนักเลือกตั้งที่ประสงค์จะย้ายคอก มีเวลาสังกัดพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 30 วันกรณียุบสภา ถ้าเลือกตั้ง 7 พฤษภาคม แสดงว่าบรรดาผู้ที่รอดูท่าทีบางอย่างหรือรอรับข้อเสนอขั้นสุดท้าย จะมีเวลาตัดสินใจไปถึง 7 เมษายน ขณะเดียวกัน หากเกิดการยุบพรรคการเมืองบางพรรค ก็จะเกิดปรากฏการณ์ผึ้งแตกรัง การดึงเวลาเลือกตั้งให้นานที่สุด ก็เท่ากับเป็นการหวังผลหลายเด้ง ไม่มีใครเชื่อหรอกว่า เงื่อนเวลาที่ว่ามานั้นเป็นไทม์ไลน์ที่ กกต.ขีดเส้นเองทั้งหมด รัฐบาลไปชี้นิ้วสั่งการไม่ได้
นอกจากนั้น การคลอดระเบียบใหม่ว่าด้วยการยุบพรรคมันก็เหมือนเป็นการไปเพิ่มน้ำหนักของข่าวที่หลุดลอดมาตลอดว่าจะมีการยุบพวกที่เป็นก้างขวางคอขบวนการอยู่ยาว ในที่นี้รวมไปถึงพรรคสืบทอดอำนาจของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ด้วย เท็จจริงประการใด หลังจากมีความชัดเจนเรื่องยุบสภาแล้วคงจะได้เห็นกัน ไม่เพียงเท่านั้น ปมการรายงานผลเลือกตั้งของ กกต.ที่มีปัญหาตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว มาหนนี้นึกว่าจะดีขึ้น กลับดูท่าว่าจะแย่ลงและเป็นการเปิดช่องให้เกิดการใช้กล้วยล่อพวกมูมมามหลังเลือกตั้งได้ด้วย
ลองนึกภาพตาม การเลือกตั้งก่อนปี 2562 ประชาชนจะทราบผลอย่างไม่เป็นทางการแทบจะวินาทีต่อวินาที แต่ กกต.ชุดนี้กลับทำให้เกิดข้อครหาด้วยการอ้างระเบียบสารพัด จนที่สุดได้ข้อสรุปที่ว่าจะมีการประกาศผลเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการหลังเลือกตั้งไปแล้ว 5 วัน ส่วนผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการนั้นจะประกาศหลังเลือกตั้งเกือบ 2 เดือน ด้วยการอ้างเพื่อความรอบคอบ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบที่เกี่ยวข้อง
การไม่ประกาศผลเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการโดยทันทีหลังเลือกตั้ง แล้วต้องใช้เวลาถึง 5 วัน มันจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงผลเลือกตั้งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือไม่ เคยมีให้เห็นมาแล้วจากรอบก่อนทั้งบัตรเขย่ง ไม่นำบัตรเลือกตั้งล่วงหน้านับรวมในบางเขตเลือกตั้ง เรียกได้ว่า ประชาชนไม่มีความไว้วางใจต่อการทำงานขององค์กรที่บริหารจัดการการเลือกตั้งแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับการทอดเวลาประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการนานขนาดนั้น มันก็คือการเปิดทางให้เกิดการเจรจาของผู้มีพระคุณกับนักเลือกตั้งเสือหิวเพื่อการอยู่ยาวให้ได้
มองเหลี่ยมไหนก็ไม่เห็นเจตนาดีหรือบริสุทธิ์ ที่จะทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยิ่งกระบวนการพิจารณาเรื่องร้องเรียนที่มีต่อนักการเมือง และพรรคการเมือง ที่ผ่านการเลือกตั้งปฏิบัติมาแล้ว มันยิ่งไปสร้างความเสื่อมศรัทธาต่อองค์กรหนักข้อเข้าไปอีก ยังไม่นับรวมการใช้วิชาสามานย์ต่อการอาศัยกลไกอำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายกุมอำนาจในช่วงการเลือกตั้ง ที่ฟันธงล่วงหน้าไว้ได้เลยว่า คนที่เป็นกรรมการจะอ้างว่าทุกอย่างยังอยู่ในกรอบ ไม่จำเป็นต้องไปตรวจสอบ หรือหากมีใครร้องก็เขียนบทวินิจฉัยไว้ล่วงหน้าได้เลยว่ายกคำร้องทุกกรณี
การเลือกตั้งงวดเข้ามาทุกขณะ พรรคที่น่าเห็นใจมากที่สุดหนีไม่พ้นประชาธิปัตย์ ถึงขนาดที่มีเสียงเรียกร้องให้ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ไปเชิญ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาช่วยหาเสียงเพื่อหวังดึงคะแนนนิยมของพรรคให้กลับคืนมา มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อคนหนึ่งเลือกที่จะสนับสนุนขบวนการสืบทอดอำนาจและสมสู่กันมาจนจะครบวาระ ขณะที่อีกคนต้องแลกมาด้วยการยุติบทบาทและงานการเมืองที่ตัวเองรักทั้งหมด เพื่อสังเวยมติพรรคที่ไปสนับสนุนเผด็จการสืบทอดอำนาจ
ความเป็นไปได้หากอภิสิทธิ์จะกลับมาคงต้องแลกกันด้วยตำแหน่งหัวหน้าพรรค และการจัดองคาพยพกันใหม่ทั้งหมด จะว่าไปแล้วมาถึงนาทีนี้ปลาในบ่อเก่าแก่ถูกพวกตกไปจนจะหมดบ่ออยู่แล้ว การเข้าสู่สนามเลือกตั้งหนนี้ จึงแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการจัดทัพใหม่เกือบทั้งหมด ด้วยการจัดทัพที่ง่อยเปลี้ยเสียขาแบบนี้ อนาคตที่จะกลับมาเป็นพรรคขนาดกลางยังยากเลย ไม่ต้องพูดถึงการจะกลับมาเป็นพรรคขนาดใหญ่ที่ไล่บี้ไล่เบียดกับเพื่อไทยก่อนหน้านี้
นี่ถือเป็นบทเรียนอันล้ำค่าสำหรับพรรคการเมืองที่อ้างระบบ ยึดหลักการแต่ไปอิงแอบกับอำนาจนอกระบบ สมคบกันมาปู้ยี่ปู้ยำระบอบประชาธิปไตย ความจริงหากไม่มีการบอยคอตเลือกตั้ง ไม่ไปร่วมขบวนการล้มรัฐบาลเลือกตั้ง โบกมือดักกวักมือเรียกรัฐประหาร ป่านนี้พรรคเก่าแก่อาจจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างสง่างามไปแล้ว หลังถูกหลอกใช้ไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหารจนมาหลวมตัวสุมหัวให้เกิดเผด็จการ คสช. อานิสงส์ที่หวังจะได้จากปลายกระบอกปืน จึงกลายเป็นหอกข้างแคร่ที่ทิ่มแทงพรรคและคนประชาธิปัตย์อย่างเจ็บปวดแสนสาหัสมาถึงทุกวันนี้
ใช้ความช่ำชองทางกฎหมายมาเล่นเกมกันจนเป็นนิสัย ล่าสุดนักร้องขาประจำไปยื่นผู้ตรวจการแผ่นดินให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเลือกตั้งปี 2562 เป็นโมฆะเพราะ กกต.ไปเอาจำนวนคนต่างด้าวร่วมคำนวณแบ่งเขต ส.ส.ด้วย ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้วินิจฉัยปมที่ กกต.ร้องไปว่าผิดหรือถูก การยื่นแบบนี้ถ้าเกิดผลชี้ขาดว่า กกต.ทำไม่ได้ แสดงว่าคนที่ยื่นร้องรู้ผลล่วงหน้ามาก่อนอย่างนั้นหรือ สิ่งสำคัญก็คือ หากร้องมาแบบนี้แล้วการเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะจริง นึกภาพไม่ออกว่ามันจะวุ่นวายโกลาหลขนาดไหน
ไม่อยากมองว่าเป็นการกดดันศาลรัฐธรรมนูญล่วงหน้า หากชี้ขาดว่า กกต.ไปเอาต่างชาติมานับรวมไม่ได้ เพราะจะส่งผลไปถึงการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แค่คิดก็ยุ่งกันตายห่า แต่เชื่อได้ว่าด้วยความรอบคอบกระบวนการพิจารณาเพื่อวินิจฉัยย่อมจะไม่ชี้ไปสู่หนทางตัน ส่วนนักร้องขาประจำก็คงจะทำงานให้เข้าตาตามภารกิจที่ได้รับมา บอกแล้วว่าพวกกองเชียร์ไม่ลืมหูลืมตามักจะทำอะไรที่คนทั่วไปเขาไม่คิดและทำกันอยู่เป็นประจำ