พาราสาวะถีอรชุน

หลายคนคงยังสงสัยไม่เลิกกับปฏิบัติการเข้าควบคุมตัว จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช.ที่ตลาดมหาชัยเมืองใหม่ จังหวัดสมุทรสาคร ระหว่างเตรียมตัวเดินทางไปถวายสักการะพระบรมรูปบูรพกษัตริย์ที่อุทยานราชภักดิ์ ด้วยมองในมุมใดแล้ว ฝ่ายที่ถูกควบคุมตัวนั้นมีแต่ได้กับได้ ส่วนฝ่ายรัฐบาลเมื่อผู้ปฏิบัติเลือกใช้แนวทางนี้ก็มีแต่เสียกับเสีย


หลายคนคงยังสงสัยไม่เลิกกับปฏิบัติการเข้าควบคุมตัว จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช.ที่ตลาดมหาชัยเมืองใหม่ จังหวัดสมุทรสาคร ระหว่างเตรียมตัวเดินทางไปถวายสักการะพระบรมรูปบูรพกษัตริย์ที่อุทยานราชภักดิ์ ด้วยมองในมุมใดแล้ว ฝ่ายที่ถูกควบคุมตัวนั้นมีแต่ได้กับได้ ส่วนฝ่ายรัฐบาลเมื่อผู้ปฏิบัติเลือกใช้แนวทางนี้ก็มีแต่เสียกับเสีย

มีข่าวเล็ดลอดมาว่า วันที่ปฏิบัติการคือ 30 พฤศจิกายนนั้น โหราศาสตร์ทั่วไปชี้ว่าวันดีฤกษ์งามของฝ่ายเคลื่อนขบวนที่อยู่ตรงข้ามคสช. และดูเหมือนว่าสถานการณ์อีกด้านก็สอดรับเมื่อมีข่าวศาลพระภูมิทำเนียบรัฐบาลเกิดไฟไหม้ จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ บางฝ่ายทำนายไปไกลถึงขั้นที่ว่าจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล

นั่นคงเป็นเรื่องที่ต้องมองกันยาวๆ แต่เอาเฉพาะกรณีเลือกเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ของคู่หูตู่-เต้น เป็นยุทธวิธีที่ฝ่ายความมั่นคงยังหลงกล เพราะแม้จะมีเป้าหมายชัดที่อยู่อุทยานราชภักดิ์ แต่เป้าที่แท้จริงอยู่ตรงไหนใครก็น่าจะคาดเดาได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม การขยับดังกล่าวก็เป็นดัชนีชี้วัดว่าต้นทุนทางอำนาจของฝ่ายยึดอำนาจนั้นยังคงแน่นปึ้กแข็งโป๊กเหมือนเดิมหรือไม่

หากหยั่งเสียงดูแล้วก็น่าจะเห็นภาพแห่งความเป็นจริง ยิ่งมีกรณีทุจริตอุทยานราชภักดิ์เข้ามาเป็นประเด็นร้อน ถือเป็นตัวบั่นทอนต้นทุนทางสังคมของผู้มีอำนาจให้ลดฮวบฮาบอย่างน่าใจหาย การสกัดขัดขวางไม่ให้แกนนำนปช.ไปราชภักดิ์ สะท้อนถึงการใช้อำนาจแบบขาดสติ บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า อำนาจจะจัดการปัญหาที่โหมเข้าใส่ได้สำเร็จ แต่เป็นเรื่องตรงข้าม การใช้ปฏิบัติการเช่นนี้ ยิ่งทำให้ฝ่ายผู้มีอำนาจขาดความชอบธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ

ฝ่ายผู้มีอำนาจประเมินการขยับของฝ่ายตรงข้ามเป็นเกมการเมือง แต่แทนที่จะแก้ปัญหาด้วยการเมือง กลับแสดงออกด้วยท่วงทำนองแห่งอำนาจทางทหาร นั่นเท่ากับฝ่ายผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตกเป็นฝ่ายพลาดพลั้งถึงขึ้นเสียหายทางการเมือง ความจริงคำเตือนของ พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง ที่บอกว่าต้องเจรจาดีกว่าควบคุมนั้น เป็นแนวทางที่ถูกต้องและแสดงให้เห็นถึงการเข้าใจการเมืองมากขึ้น

กูรูผู้คร่ำหวอดทางการเมืองมองว่า จังหวะก้าวของจตุพรและณัฐวุฒินั้น เป็นท่วงทำนองของการใช้การเมืองเพื่อพิสูจน์อำนาจทหาร ซึ่งผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจ ทหารยังเน้นใช้กำลังในยามที่เริ่มอ่อนลงมาจัดการทางการเมือง จึงทำให้เสียการเมือง เมื่อไม่เลือกที่จะใช้การเมืองนำการทหาร ภาพที่ปรากฏจึงเป็นการถูกมองว่าผู้มีอำนาจเลือกที่จะใช้อำนาจอย่างบ้าคลั่ง มัวเมาอำนาจทหาร ทั้งๆ ที่เรื่องอย่างนี้ต้องใช้ไม้นวมมากกว่าไม้แข็ง

เมื่อเป็นเช่นนั้น แนวทางการเมืองไม่ว่าจะในหรือนอกประเทศ ย่อมจะขยับเข้ามารุกไล่ฝ่ายอำนาจคสช. เพราะกรณีอุทยานราชภักดิ์นั้น เห็นอาการติ๊ดชึ่งของผู้มีอำนาจมานานร่วมเดือนแล้ว แต่ก็เด้งเชือกหนีไม่ออก มิหนำซ้ำ กลับยิ่งติดหล่มถึงขั้นที่อาจจะถูกคู่ต่อสู้ไล่ถลุงปล่อยหมัดน็อกได้ทุกเมื่อ ดังนั้น พี่เลี้ยง เอ้ย!พี่ใหญ่อย่าง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงออกมาพูดถึงน้องร่วมสายเลือดบูรพาพยัคฆ์อย่าง พลเอกอุดมเดช สีตบุตร ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิม

ก่อนหน้านั้นหากใครถามบิ๊กป้อมว่าบิ๊กโด่งต้องแสดงความรับผิดชอบหรือไม่ ก็จะได้รับคำตอบว่าไม่เกี่ยวกับรัฐบาลและอดีตผบ.ทบ. แต่ล่าสุดคำตอบที่ได้กลับเป็นว่า เป็นเรื่องส่วนตัวของรัฐมนตรีช่วยกลาโหมที่โตแล้วย่อมจะตัดสินใจเองได้ เรียกว่าเป็นการโยนเผือกร้อนไปใส่มือน้องแบบเต็มๆ ชนิดที่พี่ใหญ่ขออยู่รอดปลอดภัยไม่รู้ไม่เห็นอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม บิ๊กโด่งได้ยืนยันเมื่อวันวาน ไม่มีการไขก๊อกตามแรงกดดันอย่างแน่นอน โดยเหตุผลเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์กับการทำงาน โครงการดังกล่าวมีขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนคนไทยและต่างประเทศ มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจทำให้เป็นสมบัติของชาติ รำลึกสิ่งที่มีพระคุณของชาติอย่างใหญ่หลวง ไม่เคยคิดหวังเอาประโยชน์ใดๆ กับสิ่งเหล่านี้ ดังนั้น วันนี้หากมีคนไม่เข้าใจหรือไม่ปรารถนาดีอย่างไรก็แล้วแต่ จะมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ทุกคนย่อมคิดได้

คงต้องเป็นไปตามนั้น แต่หากจะทดสอบว่ากระแสสังคมที่คิดต่อเรื่องอุทยานราชภักดิ์นั้นเป็นเช่นใด คงไม่ต้องให้สำนักโพลค่ายไหนไปถามความเห็น ดูแค่ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ก็รู้แล้วว่า ผลเป็นอย่างไร วันก่อน สาธิต ปิตุเตชะ เรียกร้องให้บิ๊กโด่งลาออกเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของรัฐบาล หนนี้เป็นคิวของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคแสดงทัศนะบ้าง

โดยหัวหน้าพรรคเก่าแก่ระบุว่า ฝ่ายการเมืองคือบรรดาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องทำให้ประชาชนมั่นใจในมาตรฐานทางการเมืองด้วยการลาออก เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศทางการเมืองให้เป็นที่ยอมรับ และเดินหน้าต่อไปได้ ช่วยทำให้สังคมมีข้อยุติระดับหนึ่ง แต่จะต้องมีการสอบสวนหาผู้กระทำผิดต่อ ยึดโยงหลักการอย่างเต็มที่

เหตุผลที่อภิสิทธิ์นำมากล่าวอ้างก็คือ หากปล่อยให้ยืดเยื้อ จะลุกลามบั่นทอนความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาล ดังนั้น จึงเห็นว่า ความรับผิดชอบทางการเมืองต้องสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย  การตัดสินใจลาออก ไม่ได้เป็นการแสดงว่าผิดหรือถูก เพราะผิดหรือถูกจะต้องถูกชี้โดยกรรมการและหน่วยงานที่ตรวจสอบเรื่องนี้

ยืนยันในหลักการเต็มที่และเป็นแบบที่ถนัดของพรรคการเมืองนี้ แต่ที่แน่ๆ โครงการนี้การันตีว่ามีทุจริตแน่นอนโดย พลเรือเอกพะจุณณ์ ตามประทีป และ พลโทพิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ สองนายทหารคนสนิท พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ปรากฏการณ์หลังนี้ย่อมไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาอย่างไรเชื่อว่าพลเอกประวิตร และ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะรู้ดี

Back to top button