TRUEE ขาดทุน (หนัก) เพื่อ TRUE

เริ่มนับถอยหลัง TRUE รูปโฉมใหม่.! หลังผสมสายพันธุ์กับ DTAC เสร็จสิ้นลงแล้ว และนั่นทำให้หุ้น DTAC ถูกเพิกถอนจากตลาดหุ้นไทยคราวเดียวกันทันที


เริ่มนับถอยหลัง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE รูปโฉมใหม่.! หลังผสมสายพันธุ์กับบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC เสร็จสิ้นลงแล้ว และนั่นทำให้หุ้น DTAC ถูกเพิกถอนจากตลาดหุ้นไทยคราวเดียวกันทันที

แต่ก่อนที่หุ้น TRUE โฉมหน้าใหม่ จะเริ่มเข้าเทรด 3 มี.ค. 66 นี้ ต้องมีการแต่งองค์ทรงเครื่องให้สวยหรูดูเปล่งปลั่ง เพื่อสมฐานะที่เพียรพยายามควบกิจการกับ DTAC มานานกว่า 1 ปี..

เห็นได้ชัดจากงบการเงินปี 2565 ของ TRUEE (บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน) มีผลขาดทุนสุทธิ 18,285 ล้านบาท จากปี 2564 มีผลขาดทุนสุทธิ 1,428 ล้านบาท..เรียกว่า “ขาดทุนสุทธิส่งท้าย” ที่ถือว่ามากจนน่าค้นหาว่าเกิดจากอะไรบ้าง.!?

เนื้อหาคำอธิบายงบการเงิน TRUEE ระบุว่าการขาดทุนสุทธิ 18,285 ล้านบาท เกิดจากมีการบันทึกค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น 5,200 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการขยายโครงข่ายและการให้บริการอย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ย ภาษีและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น 1,800 ล้านบาทและค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำประมาณ 8,500 ล้านบาท อาทิ การตัดจำหน่ายสินทรัพย์ประมาณ 5,500 ล้านบาท

ส่วนใหญ่จากการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ที่มีความซ้ำซ้อนหรือที่อาจไม่ได้ใช้ในบริษัทใหม่ ที่จะเกิดขึ้นหลังควบรวมกิจการ การด้อยค่าของค่าความนิยม 2,000 ล้านบาทและผลกระทบจากการประเมินมูลค่าประจำปีหน่วยลงทุน DIF ประมาณ 1,000 ล้านบาท

เอานะเป็นที่รู้กันว่า..จะกลับมาเทรดทั้งที..มันต้องรองพื้นโปะแป้งกันหน่อยน่า..!!??

ประเด็นอยู่ที่ว่า TRUE โฉมใหม่..จะดีกว่า TRUEE มากน้อยแค่ไหน.!?  

โดย TRUE โฉมใหม่จะมีทุนจดทะเบียน 138,208.40 ล้านบาท จำนวนหุ้นสามัญ 34,552.10 ล้านหุ้น (ราคาพาร์ 4 บาท) สิ่งที่ต้องติดตามการสร้าง Synergy ร่วมกันจะเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง.!!

แต่สิ่งที่จะเห็นชัดเจน คือ การแข่งขันธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่จะน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ นั่นทำให้ TRUE มีโอกาสพลิกมีกำไรได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

โดยมีปัจจัยเสี่ยงคือ “ผลขาดทุน” ที่อาจยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง แม้ควบรวมกิจการแล้วก็ตามเนื่องจาก TRUE ต้องปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับของกสทช.ช่วง 3 ปีแรก และการแข่งขันไม่ได้ลดลง..อย่างที่ประเมินกันไว้

นักวิเคราะห์มีมุมมองทางเดียวกันว่า TRUE โฉมใหม่ จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังควบรวมกิจการ แต่ยังให้ราคาเป้าหมายที่แตกต่างกัน เริ่มจากบล.กสิกรไทย ให้ราคาเป้าหมาย 6.28 บาท ส่วนบล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ให้ราคาเป้าหมาย 8.51 บาท และบล.หยวนต้า ให้สูงสุด 10.40 บาท

เอาล่ะว่ากันตามทฤษฎีหลังควบรวมกิจการพื้นฐาน TRUE จะต้องดีขึ้นและความสามารถในการก่อหนี้ที่เคยตีบตัน ก็มีโอกาสทำได้มากขึ้น แต่เอาเถอะด้วยวัฒนธรรมความเป็น TRUE ต้องมองกันยาว ๆ..อย่าลืมว่าการเปลี่ยนจาก  TA ถึง Orange จนมาเป็น TRUE ในปัจจุบัน

ถือว่าได้สร้าง “บทเรียน” (ราคาแพง) ให้นักลงทุนมาแล้ว..ว่าแต่ใครจะ “จดจำ” และ “เจ็บจำ” มากหรือน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง..!!??

Back to top button