1,600 เอาไม่อยู่?
สถานการณ์ของตลาดหุ้นที่ออกอาการร่อแร่เป็นแรมเดือนทำให้รู้ว่า การไหลออกของเม็ดเงินต่างชาติเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ
สถานการณ์ของตลาดหุ้นที่ออกอาการร่อแร่เป็นแรมเดือนทำให้รู้ว่า การไหลออกของเม็ดเงินต่างชาติเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ ผนวกกับกองทุนยังมีทีท่าเฉยเมยกับตลาดหุ้นไทย ดัชนีถึงร่วงลงมาเรื่อย ๆ จนล่าสุดยืนปิดที่ระดับ 1,606.88 จุด ลบไป 5.76 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.78 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้กับแนวรับ 1,600 จุดแบบนี้..มันเสียว ยิ่งกว่าเสียวอีกนะคุณพี่!
ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ยังยืนยันคำเดิมว่า หากแนวรับสุดท้ายเอาไม่อยู่ เท่ากับเป็นการยืนยันทิศทางขาลงอย่างสมบูรณ์แบบ และเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับคนที่ออกของไม่ทัน เพราะมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนค่อนข้างสูง เดี๊ยนถึงไม่สามารถคาดหวังอะไรได้เลยในสถานการณ์เช่นนี้ แถมหุ้นขนาดใหญ่ที่พยายามเด้งสู้เป็นรอบ ๆ แต่สุดท้ายกลับมีจุดต่ำสุดใหม่เกิดขึ้นแบบถี่ ๆ จึงกลายเป็นเรื่องที่ทำให้อกอีแป้นจะแตกเจ้าค่ะ
ที่สำคัญอย่าเอาประเด็น “เอาไม่อยู่” ไปโยงกับการเมืองเป็นอันขาด เพราะความหมายมันจะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเจ๊คนที่เอาไม่อยู่..เขาก็ไม่อยู่จริง ๆ แถมยังมีประเด็นร้อนเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาฯ เข้ามาพัวพันแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องแยกแยะให้ออก เพื่อจะได้ไม่หลงคารมนักการเมืองหัวกรวย ซึ่งเอาแต่สร้างวาทกรรมเฮงซวยให้คนในประเทศทะเลาะกันไม่เลิกน่ะซี
ย้อนกลับมาดูสถานการณ์ของหุ้นแบงก์กันดีกว่า เพราะการเด้งขึ้นของ KBANK ท่ามกลางบรรยากาศลงทุนที่ขมุกขมัว มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดสำหรับตัวอีฉัน เพราะไม่มั่นใจว่า การขึ้นมาปิดที่ระดับ 139.50 บาท บวกไป 2.50 บาท หรือขึ้นไป 1.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.06 พันล้านบาท คือการกลับทิศอย่างบูรณาการ จึงขอดูสถานการณ์ไปทีละสเต็ป และขอให้แฟนคลับช่วยไปคิดเป็นการบ้านนะจ๊ะ
ขนาดหุ้นที่มีผลงานดีเป็นแบ็คอัพอย่าง CPN ยังถูกรินขายออกมาเรื่อย ๆ จนสุดท้ายลงมายืนปิดที่ระดับ 66.25 บาท ลบไป 1.75 บาท หรือลงไป 2.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.27 พันล้านบาท ท่ามกลาง PE 28 เท่า เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า นี่เป็นจังหวะของการ take profit แบบรัว ๆ เพราะสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยคงไม่ดีไปกว่านี้ แถมหุ้นตัวนี้ยังอยู่ในข่ายโดนชอร์ตหนักเป็นกลุ่มแรก ๆ แล้วจะเอาแรงที่ไหนมาขึ้นล่ะคะ
เม้าท์ถึงหุ้นที่หมดแรงที่จะไปต่อขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ขอมองไปที่หุ้น AWC เพื่อชี้ให้เห็นอาการแกว่งตัว “ขึ้น ๆ ลง ๆ” ในลักษณะไซด์เวย์ดาวน์ โดยนักลงทุนต่างชาติยังเป็นผู้ขายหลักเหมือนเดิมแบบนี้ เดี๊ยนมองเป็นเรื่องหนักใจสำหรับการช้อนหุ้นในเวลานี้ เพราะเหมือนการวิ่งเข้าไปรับแข้งของเขาเต็ม ๆ จึงอยากให้แฟนคลับประเมินว่า การยืนปิดที่ระดับ 5.80 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 1.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 297 ล้านบาท เสี่ยงแค่ไหนเจ้าค่ะ
ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” เลือกที่จะเม้าท์ถึงหุ้น AMATA เป็นรายถัดมา เพราะการพุ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 20.90 บาท บวกไป 0.70 บาท หรือขึ้นไป 3.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 455 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้กับไฮเดิมที่ราคาหุ้น “แตะปุ๊บ ลงปั๊บ” จึงเกิดอาการหวั่นใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เดี๊ยนถึงภาวนาให้ความคิดของอีฉันไม่เป็นจริง เพื่อทำให้นักเล่นเกิดความอุ่นใจว่า เที่ยวนี้ไม่เหมือนเที่ยวก่อนพะย่ะค่ะ
ส่วนรายที่น่าเป็นห่วงสุด ๆ ดันกลายเป็นหุ้น SGC หลังราคาหุ้นไหลลงมาเรื่อย ๆ จนล่าสุดลงมาทำ all time low ที่ระดับ 3.16 บาท ลบไป 0.32 บาท หรือลงไป 9.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 230 ล้านบาท มันเป็นภาพที่ทำให้นักเล่นเสียเซลฟ์ไปตามกัน และเมื่อเทียบกับ IPO ที่ระดับ 3.90 บาท ยิ่งเป็นแรงกดดันที่ทำให้พวกขาจรโยนหุ้นออกมาก่อน เพราะเริ่มรู้สึกไม่ชัวร์กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงต้องใช้เวลาเป็นเครื่องเยียวยาบาดแผลนะออเจ้า
ตบท้ายกันที่หุ้น TRUE ร่างใหม่ไฉไลกว่าเดิมกันดีกว่า เพราะเอาเข้าจริงก็ไม่ปังเหมือนที่คิดไว้ แถมราคาหุ้นก็สวิงสวายตลอดทั้งวัน “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นประเมินราคาเปิดที่ระดับ 8.35 บาท และในระหว่างวันขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ระดับ 8.80 บาท ส่วนราคาต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 8.05 บาท แต่สุดท้ายยืนปิดที่ระดับ 8.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.64 พันล้านบาท มันเป็นเรื่องที่ต้องไปลุ้นกันเองนะยาหยี!