พาราสาวะถี
ประสาชายชาตินักรบของสองพี่น้องแก๊ง 3 ป. พี่ใหญ่กับน้องเล็ก จากที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่ วันนี้กลายสภาพต้องมาห้ำหั่นกันทางการเมือง
ประสาชายชาตินักรบของสองพี่น้องแก๊ง 3 ป. พี่ใหญ่กับน้องเล็ก จากที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่ วันนี้กลายสภาพต้องมาห้ำหั่นกันทางการเมือง เมื่อเป็นเช่นนั้นการยึดตามตำราพิชัยสงคราม การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นก็คือศึกใหญ่อีกศึกหนึ่งที่จะเป็นบทพิสูจน์ว่า ความเชื่อและแนวทางการเมืองของสองพี่น้องนั้นใครจะถูกต้อง แต่กว่าจะไปถึงวันชี้ชะตา การสู้รบปรบมือระหว่างกันย่อมงัดกลยุทธ์เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ ไม่ว่าจะสนามรบที่มีอาวุธ หรือสนามการเมืองที่ไร้ศาสตราวุธ ใช้เพียงกระแสและกระสุนดินดำ ทุกอย่างก็ต้องใช้เล่ห์เพทุบายตามคำที่ว่าการศึกมิหน่ายเลห์เพื่อให้ฝ่ายตัวเองกำชัยชนะ
น้องเล็กในฐานะผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ใช้ทุกกลไกที่มีโดยเฉพาะอำนาจในการอนุมัติสารพัดโครงการที่เชื่อว่าจะซื้อใจประชาชนได้ในยามเลือกตั้ง แม้กระทั่งการที่ ครม.ไฟเขียวให้เพิ่มเงินค่าตอบแทนแก่ อสม.เป็นเดือนละ 2 พันบาทเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ต่างก็พากันเคลมเป็นผลงานทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์ บนความเชื่อที่ว่าถ้ามัดใจ อสม.ได้ อย่างน้อยก็จะได้คะแนนจากคนกลุ่มนี้ที่มีจำนวนถึง 1.05 ล้านคน
โดยที่ลืมไปว่า อสม.จำนวนไม่น้อยนั้น ก็มีฐานที่มาซึ่งอิงกับการเมืองในพื้นที่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอหรือจังหวัด ดังนั้น ไม่ว่าใครจะอ้างผลงานในการเพิ่มค่าตอบแทนอย่างไร แต่คนเหล่านั้นรู้ดีว่าหน้าที่ของความเป็น อสม.มีแค่ระดับไหน และหน้าที่หลักซึ่งก็คือหัวคะแนนหรือฐานเสียงของนักการเมือง และพรรคการเมืองนั้น ล้วนแต่มีการเลือกไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ความจริงก็คือ คนเหล่านั้นมีสังกัดตั้งแต่ยังไม่มีรัฐบาลสืบทอดอำนาจเสียด้วยซ้ำไป
ไม่ต่างกันกับเรื่องบัตรคนจน หรือแม้แต่โครงการคนละครึ่ง มันเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากได้ ต้องการ เมื่อนำไปเทียบกับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน และอื่น ๆ ที่รัฐบาลไทยรักไทย พลังประชาชน จนกระทั่งเพื่อไทยทำไว้ หากไม่มีใครหลอกตัวเองก็จะรู้ดีว่าประชาชนส่วนใหญ่ชอบแบบไหนมากกว่ากัน เพราะทุกเรื่องที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและลิ่วล้อสอพลอพากันโพนทะนาว่าทำไว้เยอะนั้น มันไม่ได้ตอบโจทย์ที่ตัวเองคุยฟุ้งว่าจะทำให้ทุกคนเกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน แต่อย่างใด
ล่าสุด ทักษิณ ชินวัตร ในนาม โทนี่ วู้ดซัม ก็ปรามาสผลงานที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเคลมว่าเป็นชิ้นโบว์แดงอย่างบัตรคนจน พร้อมจะเพิ่มเงินในบัตรให้สูงถึงรายละ 1 พันบาทว่า ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลโครงการนี้ไม่ยกเลิก แต่ประชาชนจะเมินบัตรคนจนนี้ไปทันที เพราะจะมีรายได้ที่มากกว่ารายจ่าย เศรษฐกิจดี คุณภาพชีวิตดีขึ้น ตามสโลแกนของพรรคคือคิดใหญ่ ทำเป็น เกทับบลั๊ฟกันขนาดนี้ แล้วที่ผ่านมาเคยพิสูจน์แล้วว่าทำได้ มันยิ่งทำให้กุนซือของขบวนการสืบทอดอำนาจต้องคิดหนักที่บอกว่า ทำแล้ว ทำอยู่ และทำต่อนั้นมันตอบโจทย์ความต้องการของคนส่วนใหญ่หรือไม่
ขณะที่ น้องเล็กคิดพลิกแพลงหาสูตรที่จะมาเรียกคะแนนนิยมให้กลับคืนมา พร้อมวางกลยุทธ์เพื่อสร้างความได้เปรียบในการเลือกตั้งตามประสาพวกอยากอยู่ยาว พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.กลับมุ่งมั่นต่อการเดินเกมการเมืองในรูปแบบของการประสานนักเลือกตั้งและพรรคการเมือง คู่ขนานไปกับกลุ่มอีลิทเพื่อที่จะนำพาประเทศให้ก้าวข้ามความขัดแย้งอย่างแท้จริง และเหมือนจะเป็นทางเลือกที่โดนใจพวกไม่ซ้ายไม่ขวาไม่น้อยทีเดียว
ปัญหาสำคัญต่อการขยับแบบนี้ของพี่ใหญ่คือต้องประกาศแนวทาง ทิศทาง และวิธีการดำเนินการให้ชัดเจน เพื่อทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าจะได้เห็นประเทศเดินไปบนเส้นทางที่ฝ่ายการเมืองซึ่งเดินตามระบอบอย่างแท้จริง สามารถจับมือกับกลุ่มอีลิทได้อย่างเหนียวแน่น และไม่เปิดโอกาสให้พวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งสุมหัวกันเพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีก ความคิดที่ว่า“ประชาชนไม่มีความสามารถในการเลือกคนดี มีความสามารถเข้ามาเป็นผู้แทน” ตามที่พี่ใหญ่มองว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนั้น ต้องถูกนำไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเป็นจริง
ด้วยมุมมองที่เหยียดหยาม ดูแคลนคนส่วนใหญ่เช่นนั้นมันจึงเป็นที่มาของคนต่างจังหวัดเลือกรัฐบาล คนกรุงเทพฯ ล้มรัฐบาล ทั้งที่ความจริงแล้วมุมมองจากห้องแอร์หรือการนั่งอยู่บนภูส่องลงมานั้น เป็นความคิดที่ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เหมือนกับที่พี่ใหญ่ตกผลึกทางความคิดที่ว่า ทำไมพรรคที่สนับสนุนอำนาจนิยมจึงพ่ายแพ้ต่อพรรคที่เดินในแนวทางประชาธิปไตยเสรีนิยมทุกครั้ง
ในฐานะที่ร่วมหัวจมท้ายมากับน้องเล็กในนามขบวนการสืบทอดอำนาจที่ตั้งต้นมาจากเผด็จการ คสช. ก็เห็นและเข้าใจแล้วว่า กติกาหรือกลไกที่วางแผนกันมานานนั้นไม่มีหนทางในชัยชนะตามครรลองของประชาธิปไตย แม้ฝ่ายอำนาจนิยมจะสร้างกติกา และแต่งตั้งคนของตัวเองเข้ามาควบคุมกลไก เพื่อให้เอื้อต่อชัยชนะของฝ่ายตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายแค่ไหนก็ตาม เพราะความพ่ายแพ้เกิดจากอำนาจนิยม แม้จะครองใจคนบางกลุ่มได้ แต่ห่างไกลอย่างยิ่งต่อความเข้าใจเกี่ยวกับความจำเป็นในชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่
ความจริงไม่จำเป็นที่จะต้องให้พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.มาระบายความรู้สึกหรือสารภาพให้ฟังว่า ในเส้นทางการบริหารจัดการประเทศ ไม่มีหนทางอื่นนอกจากมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าในระบอบประชาธิปไตย เคารพการตัดสินของประชาชนส่วนใหญ่ เพราะข้อเท็จจริงก็คือ หากไม่มีอำนาจอื่นมาแทรกเพียงเพราะอคติกับตัวบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง ประเทศก็คงไม่หยุดชะงักถูกชัตดาวน์มานานกว่า 8 ปีเช่นนี้
ข้อเสนอที่ว่า รับทราบถึงเจตนาดีต่อประเทศของคนกลุ่มที่พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า มีความรู้ความสามารถ และยังคงมีอิทธิพลกำหนดความเป็นไปของประเทศ ทำให้เกิดความเสียดาย และคิดว่าการหาทางประสานให้คนกลุ่มนี้เข้ามามีส่วนร่วมในการนำพาประเทศย่อมเกิดผลดีอย่างยิ่งต่อการพัฒนาบ้านเมืองนั้น คนเหล่านี้พร้อมที่จะเลิกงมงายกับเรื่องอุปโลกน์ทั้งหลายที่ใช้หลอกหลอนคนไทยก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ ถ้ายังเต็มไปด้วยอคติ และจะเข้ามาเพราะต้องการแสวงหาอำนาจเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มอีลิทด้วยกัน มันก็เปล่าประโยชน์