‘อดิศร’ มองหุ้นไทยเชิงบวก

“อดิศร” ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นไทยภายใต้ปัจจัยสนับสนุน การฟื้นตัวของภาคอุปโภคบริโภค การลงทุนภาครัฐ การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในระยะอันใกล้


เส้นทางนักลงทุน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด ได้เปิดตัว อดิศร เสริมชัยวงศ์ แม่ทัพคนใหม่ ที่เข้ามารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร เพื่อนำพาบริษัทให้ก้าวเดินต่อไปท่ามกลางการแข่งขันและการเปลี่ยนผ่านของธุรกิจกองทุนรวม ตลอดจนนำพาผู้ลงทุนก้าวข้ามความผันผวนของโลกการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ดี

“ข่าวหุ้นธุรกิจ” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “อดิศร” ถึงแรงขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติหลักหลายหมื่นล้านบาทภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือนแรกของปี 2566 นี้ แต่ “อดิศร บอกว่ายังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยภายใต้ปัจจัยสนับสนุนคือ การฟื้นตัวของภาคอุปโภคบริโภค การลงทุนภาครัฐ การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในระยะอันใกล้นี้ และภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้ดี

โดยยังมีคำแนะนำให้ “เพิ่มน้ำหนัก” ลงทุนในหุ้นไทย ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยแนะนำให้ลงทุนในกองทุนผสม (Balance funds)

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ บลจ.กสิกรไทย มีมุมมองต่อเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปลายปี 2566 นี้ ที่ระดับ 1,800 จุด

ส่วนหุ้นต่างประเทศนั้นแนะนำตลาดหุ้นจีน ระบุว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันยังมีแนวโน้มที่จะชะลอตัว ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีความผันผวนสูง ในขณะที่ตลาดได้สะท้อนความคาดหวังต่อสัญญาณเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงไปแล้ว ทำให้ในระยะถัดไปคาดว่าจะเริ่มเห็นโอกาสการกลับมาของตลาดหุ้นทั่วโลก

โดยเฉพาะตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย นำโดยประเทศจีน จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งการทยอยเปิดประเทศ การบริโภคจำนวนมหาศาล และความก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี ถือเป็นปัจจัยบวกที่เข้ามาสนับสนุน

ด้านตลาดตราสารหนี้ไทยปัจจุบันได้สะท้อนถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตที่ระดับประมาณ 2.00-2.25% แล้ว มองว่าการลงทุนในตราสารหนี้ไทยยังมีความน่าสนใจและอยู่ในระดับที่สามารถเข้าลงทุนได้

“อดิศร ยังประเมินอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปี 2566 นี้ว่า การแข่งขันจะมีความรุนแรงมากขึ้นตามภาวะตลาดที่เริ่มฟื้นตัว ขณะที่ผู้ลงทุนก็ต้องการคำแนะนำมากขึ้น โดยเฉพาะการปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ

ในฐานะแม่ทัพคนใหม่ “อดิศร” ได้กำหนดยุทธศาสตร์ด้วย 2 โจทย์ใหญ่ให้บลจ.กสิกรไทยจะต้องรักษาฐานที่มั่นในการเป็นบลจ.ระดับแถวหน้าไว้ให้ได้ และจะต้องครองใจเป็นบลจ.ที่นักลงทุนนึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ ด้วยแนวคิด Top of Mind Investment House

สำหรับโจทย์ข้อแรกนั้น บลจ.กสิกรไทย จะต้องขยายการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ไปอยู่ที่ 1.55 ล้านล้านบาท ภายในปี 2566 นี้ จากสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 1.41 ล้านล้านบาท

โดย ณ สิ้นปี 2565 ที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทย มี AUM แบ่งเป็น ธุรกิจกองทุนรวม 9.93 แสนล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 2.34 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.88 แสนล้านบาท ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม

ส่วนโจทย์ข้อที่สองคือ การครองใจและการขยายฐานผู้ลงทุน จะขับเคลื่อนผ่านช่องทางดิจิทัล ทั้ง K-PLUS และ K-My Funds ซึ่งในปีที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทย มีฐานนักลงทุนอยู่แล้วเป็นจำนวน 357,086 ราย คิดเป็นสัดส่วน 43% จากจำนวนผู้ลงทุนทั้งหมด นอกจากนี้ยังสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ได้ในทุกช่องทาง รวมเป็นจำนวน 136,842 รายด้วย

บลจ.กสิกรไทย จะรุกหนักในธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากขึ้น เพราะมองเห็นโอกาสในการเติบโต โดยในส่วนของกองทุนส่วนบุคคล พบว่าสถาบันในประเทศ เช่น สหกรณ์ มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล ต้องการนำเม็ดเงินมาลงทุนมากขึ้น การจับฐานกลุ่มนี้จะสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้น

ทั้งนี้ 5 องค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้บลจ.กสิกรไทยประสบความสำเร็จตามแผนกลยุทธ์ดังกล่าว คือ

  1. มุ่งสร้างผลตอบแทนด้วยการต่อยอดและพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการกองทุนให้ได้ผลตอบแทนที่โดดเด่นอย่างสม่ำเสมอ
  2. สร้างความน่าเชื่อถือผ่านการให้คำแนะนำที่เหมาะสมและทันต่อเหตุการณ์อย่างตรงไปตรงมา
  3. ดูแลคู่ค้าอย่างเข้าใจ พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ตามโจทย์ของคู่ค้าแต่ละราย เพื่อนำไปเสนอขายให้ตรงใจผู้ลงทุน
  4. บริหารพอร์ตให้กับผู้ลงทุนสถาบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์และสภาพคล่องให้กับลูกค้าผู้ลงทุนสถาบัน
  5. ตัวช่วยวางแผนเกษียณ นำเสนอตัวเลือกที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกเป้าหมายเกษียณให้แก่สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ที่ “อดิศร เสริมชัยวงศ์” แม่ทัพคนใหม่แห่งบลจ.กสิกรไทยตั้งไว้ จะทำควบคู่กับการบูรณาการด้าน ESG เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน

Back to top button