ขายลูกกิน…. ช่วยไม่ได้แฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
แล้วก็เป็นไปตามที่พูด การขายหุ้นที่ บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPOLY ที่เคยถือลงทุนในบริษัทลูกมายาวนานตั้งแต่ต้น คือ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH เพิ่มอีก 37.5 ล้านหุ้น หรือ 9.35% ของหุ้นรวมของ TPCH ให้กับ “นักลงทุนที่สนใจโดยตรง” ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ในราคาตามที่ตกลงกัน
แล้วก็เป็นไปตามที่พูด การขายหุ้นที่ บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPOLY ที่เคยถือลงทุนในบริษัทลูกมายาวนานตั้งแต่ต้น คือ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH เพิ่มอีก 37.5 ล้านหุ้น หรือ 9.35% ของหุ้นรวมของ TPCH ให้กับ “นักลงทุนที่สนใจโดยตรง” ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ในราคาตามที่ตกลงกัน
เดิมทีนั้น TPOLY ตั้งเป้าหมายว่า จะขายที่ราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 16.53 บาท ซึ่งเป็นราคาที่มูลค่ายุติธรรมของหุ้น TPCH ที่ประเมินโดยที่ปรึกษาการเงินอิสระ
แต่ดีลนี้ ทำได้ดีเกินคาด เพราะ TPOLY ขายหุ้น TPCH ในจำนวนตามเป้าทั้งหมด จำนวน 37,500,000 หุ้น ให้กับนักลงทุนสถาบันในราคาหุ้นละ 17.80 บาท ดีกว่าที่ตั้งเป้าไว้หุ้นละ 2.27 บาท รวมแล้วเกินเป้าไปมากถึง 85.125 ล้านบาททีเดียว
การขายครั้งนี้ ทาง TPOLY ย้ำอีกครั้งว่า จะเป็นการขายครั้งสุดท้าย ไม่ขายอีกแล้ว เพราะขืนขายมากกว่านี้ สัดส่วนการถือครองหุ้นใหญ่จะลดลงกว่า 41.26% ไม่ดีแน่สำหรับอนาคต
สำหรับนักลงทุนที่เข้ามาซื้อหุ้นครั้งนี้ น่าสนใจไม่น้อย เพราะเป็นสถาบันการเงินทั้งหมด ประกอบด้วย
– บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำนวน 8,500,000 หุ้น
– บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด จำนวน 12,500,000 หุ้น
– บริษัท เอไอเอ จำกัด จำนวน 5,116,600 หุ้น
– บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย จำกัด 9,383,400 หุ้น
– บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด จำนวน 2,000,000 หุ้น
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่คนซื้อเหล่านี้ จะถือหุ้นนานแค่ไหน หรือถือในรูปของนอมินีแทนใครบางคนที่ไม่อยากเปิดเผยตัวตนหรือไม่. เป็นเรื่องต้องค้นหากันต่อไป เพราะในหลักการแล้ว TPCH เป็นบริษัททำธุรกิจพลังงานทางเลือกที่มีอนาคตโดดเด่น
ที่โดดเด่นเพราะเลือกทำเลลงทุนในธุรกิจพลังงานชีวมวลในเขตรอยต่อของพื้นที่ซึ่งได้ราคา “ชดเชย” จากรัฐสวยงามกว่าคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน
เรียกว่าเป็นผู้นำธุรกิจพลังงานทางเลือกชายขอบ ก็คงไม่ผิด
ใครถือหุ้นบริษัทนี้ไว้นานๆ ผ่านไปหลายปีอาจจะถามตัวเองแบบขอบคุณว่าตัดสินใจได้ยอดเยี่ยมมากเกินขนาด
แม้ว่าตอนนี้จะยังกำไรไม่เยอะ เพราะยังต้องลงทุนขยายงานไปเรื่อยๆ และเป็นไปตามสูตรคือ ต้องใช้เงินลงทุนเยอะมาก ในฐานะที่เป็นcapital intensive industry
ยิ่งล่าสุดเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TPCH ออกมาระบุว่ายังจะต้องขยายงานต่อไป โดยในแผนธุรกิจปี 2559 เตรียมขยายการลงทุนในอาเซียน เปิดฉากที่กัมพูชาและลาว คาดได้ข้อสรุปต้นปีหน้า คาดว่าจะเดินหน้าก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลอีก 4 โครงการ กำลังการผลิตรวม 40 เมกะวัตต์ พร้อมตอกย้ำว่าเป้าหมายภายใน 5 ปี จะมีโรงไฟฟ้ากำลังการผลิตรวม 200 เมกะวัตต์
การขยายธุรกิจตามแผนของ TPCH นี้ คาดว่าจะต้องใช้เงินทุนอีกเยอะทีเดียว คำถามคือ หากแม่อย่าง TPOLY ที่ปัจจุบันอยู่ในสภาพมีปัญหาทางการเงินเข้าขั้นรุนแรง ไม่ยอม“ขายลูกกิน“ ก็มีโอกาสที่ TPCH จะเติบโตไม่ได้ตามแผน
การขายหุ้นล่าสุด เพิ่มเติมจากที่เคยขายไปแล้วในวันที่ 30 กันยายน ออกไปแล้ว 2.5 ล้านหุ้น จึงเป็นการปลดล็อกทั้งแม่และลูกพร้อมในคราวเดียวกัน ยิงกระสุนทีเดียวได้นกอย่างน้อย 2 ตัว
ไม่อยากย้ำ แต่จำเป็นต้องเอ่ยเพื่อเป็นข้อมูลว่า หลายปีนี้ TPOLY มีความต้องการแก้ปัญหาการเงินที่รุมเร้า ทั้งด้านสภาพคล่อง และชำระหนี้ หลังจากมีตัวเลขขาดทุนมายาวนานกว่า 3 ปีเศษจากธุรกิจก่อสร้าง ถึงขนาดสิ้นเดือนธันวาคม 2557 TPOLY มีส่วนผู้ถือหุ้นเหลืออยู่เพียง 25.70 ล้านบาทเท่านั้น และปีนี้แม้จะเพิ่มทุนไปแล้วครั้งหนึ่ง ขายในราคาสูงกว่าพาร์ คือ 4 บาทต่อหุ้น (พาร์ 1 บาท) ก็ทำให้มีส่วนผู้ถือหุ้นใหม่เพียงแค่ 192.61 ล้านบาท ไม่เพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจก่อสร้าง เสียโอกาสมหาศาล
การตัดสินใจขายเงินลงทุนใน TPCH จึงเป็นทั้งความจำเป็น และเป็นทางออกเพื่อก้าวสู่อนาคต เพราะราคาขายรอบล่าสุด ช่วยให้ TPOLY ตัวเบาไปเยอะ ไม่ต้องเพิ่มทุนให้ยุ่งยากอีก
ที่สำคัญ สัดส่วนถือครองหุ้น 41.26% ที่เหลืออยู่ ก็ไม่ใช่สัดส่วนน้อยนิด และไม่ทำให้ TPOLY หมดอำนาจการควบคุม TPCH จนหมดสิ้น เพราะยังมีหุ้นส่วนของคนในตระกูลจันทร์พลังศรี ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TPOLY ถืออยู่อีกส่วนหนึ่ง ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกใครมาเทกโอเวอร์ไป
ใครจะหาว่าขายลูกกิน…ก็คงห้ามกันไม่ได้
มันไม่มีทางเลือกนี่นา…อิอิอิ
ถ้ามี คงไม่ทำอย่างนี้หรอก