สังคมข่าวหุ้น
ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมของไทยเพิ่งจะใจชื้นจากปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐฯ กลับต้องมาเจอกับ “เครดิตสวิส” กันต่อ
ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมของไทยเพิ่งจะใจชื้นจากปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐฯ กลับต้องมาเจอกับ “เครดิตสวิส” กันต่อ แต่หากตั้งหลักกันได้ กลับมาทบทวน บวกกับข้อมูลต่าง ๆ จะพบว่า เครดิตสวิสด้วยความเป็นแบงก์ใหญ่มาก และความใหญ่มากนี่แหละ หาก “ล้ม” ผลกระทบมันเยอะ แต่การที่ผลกระทบเยอะนี่แหละ ที่ทำให้สถาบันการเงินแห่งนี้ไม่ใช่ล้มไม่ได้ แต่ “ห้ามล้ม” ดังนั้น ธนาคารกลางของสวิสเซอร์แลนด์ และกลุ่มอียู จะเข้ามาจัดการอย่างแน่นอน
ดัชนี SET วานนี้ ลงไปต่ำสุด 1,538.10 จุด หรือลบไป 26.90 จุด ก่อนจะดีดกลับในช่วงภาคบ่าย ทำให้ SET ลดช่วงลบลงมาเหลือเพียง 10.35 จุด มาที่ 1,554.65 จุด เปลี่ยนแปลง -0.66% ส่วนมูลค่าการซื้อขายยังเบาบางไปหน่อย เพียง 69,665 ล้านบาท แนวโน้มวันนี้มีโอกาสดัชนีพลิกกลับมาเป็นบวก นำโดยหุ้นในกลุ่ม SET50 เช่น กลุ่มแบงก์ สื่อสาร ค้าปลีก หรือเป็นบิ๊กแคปที่อิงกับปัจจัยภายในประเทศ
กรุงไทย KTB ราคามาวนเวียนบริเวณแนวรับ 16.30-16.40 บาท และไม่หลุดแนวรับสำคัญ 16.00 บาท สัญญาณทางเทคนิคถือว่าดีเยี่ยม ในด้านพื้นฐานไม่มีอะไรน่าห่วงอยู่แล้ว แนวโน้มราคาน่าจะกลับขึ้นไปทดสอบ 16.70 บาท อีกครั้ง หากผ่านไปได้ จะมีต้านถัดไปที่ระดับ 17.10 บาท P/BV เพียง 0.62 เท่า และมี P/E เท่ากับ 6.802 เท่า เท่านั้น เป็นอีกหุ้นแบงก์ที่น่าซื้อสะสมปานกลางถึงยาว ราคาเป้าหมายส่วนใหญ่ที่นักวิเคราะห์ให้กันไว้อยู่ที่ 19-21 บาท แลกการ์ดตลาดอยู่ค่อนข้างมาก มีอัพไซด์สูง
หุ้นบ้านปู BANPU หลังภาวะตลาดโดยรวมไม่ดี ทำให้ราคาหลุดแนวรับ 10.70 บาท ลงมาที่บริเวณ 10.20 บาท หากคิดว่าจะซื้อเพื่อดักกินปันผล (ขึ้น XD 10 เม.ย. ปันผล 0.75 บาทต่อหุ้น) ที่ราคาประมาณนี้น่าจะพอได้อยู่ล่ะ เพราะให้ยีลด์ถึง 7.40% จากราคาปิดวานนี้ (16 มี.ค.) เพราะคิดว่าราคาไม่น่าหลุด 10.0 บาท เช่นเดียวกับตอนโควิดปี 2563-2564 แต่อย่างว่า หุ้นบ้านปูส่วนใหญ่นักลงทุนจะเก็งกำไรจากราคาถ่านหินในตลาดโลกกันเป็นหลัก แทบไม่สนใจปันผล ทั้งที่ระดับราคานี้ให้ยีลด์น่าสนใจ
หุ้นไออาร์พีซี IRPC เมื่อตลาดหุ้นไม่ดี ราคาจะลงแบบวิ่งนำชาวบ้านแบบทิ้งไม่เห็นฝุ่น หรือออกตัวเร็วมาก วิ่งนำดิ่งลงไปเลย แต่พอตลาดหุ้นเริ่มดีดกลับ ราคาไออาร์พีซี จะขยับขึ้นช้ามาก เหมือนไม่เต็มใจจะวิ่งกลับ ล่าสุด ราคาลงมาอยู่ 2.60 บาท เข้าใจว่า คงเป็นเพราะ “หุ้นหนัก” เวลาเกิดแพนิกหุ้นจะลงเร็วมาก และเมื่อหุ้นเริ่มขึ้น ด้วยความที่หนักนี่แหละทำให้วิ่งขึ้นได้ช้า เว้นแต่จะมีปัจจัยบวกเข้ามาดันท้าย
กรณี บางจากฯ BCP กับ ESSO ต้องจับตาเรื่องราคาซื้อขายกันให้ดี เพราะจะเห็นเกมของแต่ละฝ่าย อย่าง ESSO เดิมคาดว่าจะปันผล 1 บาท แต่กลับจ่ายเพียง 0.30 บาท เลยคาดเดากันว่า อาจจะเป็นเพราะ หากปันผลเยอะ จะทำให้ราคาที่จะขายถูกลง แต่การปันผลจะมีตัวแชร์เยอะ และต้องจ่ายภาษี (เงินปันผล) อีก สู้ปันผลน้อย แล้วขอขายให้บางจากฯ ในราคาที่สูงขึ้นดีกว่า ภาษีไม่ต้องเสีย ตัวแชร์ไม่มี แต่ BCP ก็เล่นเกมดักราคาซื้อก่อนเลยคือ ไม่เกิน 9.18 บาท หรืออาจจะบวก/ลบ กว่านี้เล็กน้อย เลยต้องมาดูกันว่า หากดีลนี้เคลียร์เรื่องราคาไม่ได้แล้ว “ล้ม” ราคา BCP จะร่วงลง แล้ว ESSO จะดีดกลับแรงทันที
ตลาดหุ้นไทยที่ลงวานนี้ ทำให้ “ภากร” ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ออกมาแอ็กชันอีกครั้งว่าอย่าตื่นตกใจ แต่จริง ๆ แล้ว หากจะเตือนให้เข้ากลุ่มเป้าหมาย ต้องส่งเสียงไปยังนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะกองทุนต่าง ๆ ก่อนเลยว่า “อย่าตื่นตูม” เพราะมีเหตุการณ์เหล่านี้ครั้งใด กองทุนขายนำออกไปก่อนเลย ส่วนนักลงทุนรายย่อย คือ กลุ่มนักลงทุนที่อุ้มตลาดหุ้นตัวจริงเสียงจริง ใจถึงพึ่งได้