พาราสาวะถี
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นที่เรียบร้อย สำหรับประกาศ กกต.เรื่อง วันเลือกตั้ง วันรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นที่เรียบร้อย สำหรับประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เรื่อง วันเลือกตั้ง วันรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ รวมทั้งสถานที่ที่พรรคการเมืองจะสามารถส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครแบบปาร์ตี้ลิสต์ เป็นอันว่าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ สิ่งที่เห็นเวลานี้จึงจะเป็นความเคลื่อนไหวทั้งการย้ายพรรค การเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครแบบเขต บัญชีรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ของบางพรรค และทีมเศรษฐกิจของพรรค
ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในฐานะประธานยุทธศาสตร์ของรวมไทยสร้างชาติ ก็ได้ประกาศพร้อมสวมเสื้อพรรครับทีมเศรษฐกิจ เห็นรายชื่อแล้วก็ล้วนแต่เป็นพวกที่ใกล้ชิดและได้รับอานิสงส์จากการขึ้นครองอำนาจของเผด็จการ คสช. จนมาถึงการตั้งเป็นพรรคของพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งทั้งสิ้น ถามถึงชื่อชั้นการยอมรับจากประชาชน ตอบแบบไม่ต้องคิดว่าไม่ว้าวอย่างที่คิด มิหนำซ้ำ อาจจะมีเสียงยี้ตามมาเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะบางคนที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวตึงของม็อบนกหวีด เป็นตัวการของพวกที่ทำให้ความขัดแย้งไม่สิ้นสุดอีกต่างหาก
ด้านพรรคสืบทอดอำนาจ เป็นไปตามคาดมีการเคาะรายชื่อว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์กันเรียบร้อย พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ต้องเป็นหมายเลข 1 อยู่แล้ว และจะตามมาด้วยการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคด้วย ส่วนระดับนำทั้งคนอยู่มาก่อนและย้ายสมทบทีหลัง ต่างก็ได้อยู่ในอันดับที่ดีทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ที่ถูกวางไว้เป็นอันดับ 6 อุตตม สาวนายน อดีตหัวหน้าพรรคที่คัมแบครอบใหม่ได้เป็นว่าที่ผู้สมัครอันดับที่ 10
เรียกว่าเป็นการจัดวางที่ทำให้ทุกกลุ่มทุกสายพอใจ คนที่อยู่ในระดับนำแต่ไม่ลงปาร์ตี้ลิสต์ ดันลูกชายขึ้นชั้นแทนก็เป็นรายของ วิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคให้ อธิรัช รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยคมนาคมเป็นว่าที่ผู้สมัครอันดับที่ 5 ถือเป็นการประกาศความชัดเจนต่อการทำงานทางการเมืองแบบเต็มตัวของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. ไม่มีอะไรต้องเหนียม เหมือนจะกดดันให้น้องเล็กที่ยังแทงกั๊กไม่ยอมตอบให้ชัดเจนว่าเป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1 ของรวมไทยสร้างชาติหรือไม่
ขณะที่เพื่อไทยได้ฤกษ์เปิดตัวบิ๊กเนมซึ่งย้ายมาจากพรรคสืบทอดอำนาจนั่นก็คือ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สมศักดิ์ เทพสุทิน ที่มาพร้อม อนงค์วรรณ เทพสุทิน ภรรยา อดีตลูกหม้อตั้งแต่ยุคไทยรักไทย เรื่องของตำแหน่งในพรรคไม่ใช่สิ่งสำคัญ อยู่ที่การจัดวางอันดับลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อมากกว่า หอบหิ้วกันกลับมาในมิติที่แปลกกว่าอดีตแกนนำคนอื่นซึ่งแปรพักตร์ไปก่อนหน้า แรงกระเพื่อม เสียงต่อต้าน ใช่ว่าจะไม่มีแต่ไม่ดังมากพอจนสร้างแรงกดดันให้กับกรรมการบริหารพรรคแต่อย่างใด
พอเข้าใจได้ เหตุและปัจจัยที่ทำให้ต้องเปลี่ยนข้างก่อนหน้านั้น ไม่เฉพาะแต่รัฐธรรมนูญดีไซน์มาเพื่อพวกเราเท่านั้น หากแต่แรงบีบคั้นต่าง ๆ โดยเฉพาะอำนาจที่ยังเต็มเปี่ยมของเผด็จการ คสช.เวลานั้น เป็นใครก็ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน เหมือนที่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่า “ด้วยมิติทางการเมืองที่ผันผวน เป็นเหตุให้พวกท่านต้องไปทำงานการเมืองกับพรรคอื่น ๆ ประชาชนรู้ซึ้งได้ว่า ท่านต้องดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเช่นนั้น เพื่อรักษาสภาพ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีทั้งสามท่านบนเวทีวันนี้”
วรรคทองที่ต้องขีดเส้นใต้จากคำพูดของหัวหน้าพรรคเพื่อไทยก็คือ ในอนาคตข้างหน้าหวังว่าจะไม่มีมิติทางการเมืองที่บีบคั้นเช่นนี้เกิดขึ้นอีก สิ่งที่พูดไม่รู้ว่าหมายถึงการรัฐประหาร การใช้อำนาจจากปลายกระบอกปืนมาไล่จี้ให้นักการเมืองเปลี่ยนขั้ว หรือกลไกที่สร้างไว้ของขบวนการสืบทอดอำนาจซึ่งยังเกรงกันว่าจะแสดงอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชหลังจากที่มีการรับสมัครเลือกตั้งไปแล้ว เมื่อการเมืองเดินทางมาถึงนาทีนี้แล้ว ประเภทเอาเปรียบทุกประตู ใช้ทุกองคาพยพเล่นงานฝ่ายตรงกันข้าม คงยากที่จะทำได้ ถ้ากล้าทำก็ต้องกล้ารับสภาพกับสิ่งที่จะตามมา
การมาของสุริยะและสมศักดิ์นั้น ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการส่งสัญญาณว่าการเมืองกำลังจะเปลี่ยนขั้ว ความเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งในฐานะนักการเมืองและนักธุรกิจ สุริยะย่อมรู้ดีว่าความต้องการของพวกมีอำนาจที่ชี้นำประเทศได้นั้น มีเป้าประสงค์อย่างไร อีกบทบาทหนึ่งจึงเป็นเหมือนตัวประสานเพื่อที่จะทำให้การแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยถ้าสำเร็จจะไม่ได้เป็นหมัน นั่นย่อมหมายถึงสายสัมพันธ์อันดีที่ยังมีต่อพรรคที่เคยอยู่มาก่อนหน้านี้ด้วย
การชูนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้งของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. ก็เป็นตัวบ่งชี้ที่สัมผัสได้อย่างหนึ่งว่า การขับเคลื่อนในลักษณะนี้ก็ไม่ต่างจากข้อเสนอ “โซ่ข้อกลาง” ที่ “บิ๊กจิ๋ว” พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตขงเบ้งแห่งกองทัพเคยเสนอไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน เพียงแต่ว่าหนนี้น่าจะมีโอกาสใกล้เคียงความเป็นจริงหรือประสบความสำเร็จมากที่สุด เมื่อฝ่ายมีอำนาจชี้นำประเทศ มองเห็นว่าหากเป็นไปตามทฤษฎีที่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.โยนหินถามทาง แล้วทำได้จริง มันก็คือ การประสานความไม่ลงรอยของขั้วความขัดแย้งหลักที่ทำให้บรรยากาศของบ้านเมืองเป็นอยู่เหมือนทุกวันนี้นั่นเอง
มองไปยังท่วงทำนองของคนการเมืองที่ย้ายเข้าขยับออกของพรรคสืบทอดอำนาจกับเพื่อไทยแล้ว พอจะทำให้เห็นถึงรูปรอยของการสร้างความปรองดองที่แท้จริงได้ ผิดกับพรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ระดับนำไม่ว่าจะด้านไหน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่รอฟังคำสั่งให้ซ้ายหันขวาหันและต้องการให้ความขัดแย้งคงอยู่เพื่อตัวเองและพวกพ้องจะได้ประโยชน์จากตรงนี้กันต่อไป ไม่ต่างจากพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคที่คนเข้าไปสมัครต่างก็คือพวกเป่านกหวีดด้วยกันทั้งสิ้น
หากคงภาพเช่นนี้ต่อไปจนถึงเลือกตั้ง คงไม่ใช่เรื่องยากที่ประชาชนจะตัดสินใจ ไม่ใช่เพียงแค่ต้องเลือกระหว่างเอาหรือไม่เอาประยุทธ์เท่านั้น เพิ่มเติมเข้ามาคือยังมีพวกนกหวีดกับฝ่ายประชาธิปไตย และนกหวีดกลับใจ ส่วนพรรคที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงเมื่อเห็นคะแนนเสียงหลังเลือกตั้งแล้วอย่างภูมิใจไทย บรรยากาศนับตั้งแต่ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ถูกแขวนจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็ทำให้รู้แจ้งเห็นจริงว่า ยังจะทำหน้าที่แบกเสลี่ยงให้ท่านขุนต่อไปอีกหรือไม่