เฟดส่งซิกเชิงบวกหนุนหุ้นไทย
บล.ยูโอบี เคย์เฮียน มองบวกต่อถ้อยแถลงของเฟด เชื่อว่ากำลังจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย จากการที่เฟดยังโฟกัสเกี่ยวกับเรื่องดูแลเงินเฟ้อ แสดงถึงความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจ
เส้นทางนักลงทุน
ที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ในการประชุมประจำเดือนมีนาคม 2566 มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นไปตามที่เสียงส่วนใหญ่ในตลาดคาดการณ์ ท่ามกลางความกังวลว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินต้องเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมทำให้สถานการณ์ความวุ่นวายในภาคการธนาคารเลวร้ายลงไปอีก
อย่างไรก็ตาม จากแถลงการณ์ของเฟด เชื่อมั่นว่าระบบธนาคารของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งดี แต่ก็เตือนว่าจากการล่มสลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ (Silicon Valley Bank : SVB) และธนาคารซิกเนเจอร์ (Signature Bank) ที่ได้สร้างความวุ่นวายทางการเงิน จะมีผลให้เกิดการคุมเข้มด้านเงินกู้ และให้น้ำหนักกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และเงินเฟ้อ
ขณะที่ มีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวางว่าการล่มสลายของ SVB เป็นผลจากเฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างมากตลอดปีที่ผ่านมา ผลส่วนหนึ่งเกิดขึ้นหลัง SVB ขาดทุน 1,800 ล้านดอลลาร์ฯ จากการขายหลักทรัพย์ลงทุนในนั้น รวมถึงพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมูลค่าตกต่ำ สืบเนื่องจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
การประชุมในรอบนี้ เฟดส่งสัญญาณว่าอาจใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของมาตรการขึ้นดอกเบี้ยสูงต่อเนื่องเพื่อควบคุมเงินเฟ้อแล้ว สะท้อนได้จากถ้อยแถลงที่ปรับเปลี่ยนจาก “จะขึ้นอย่างต่อเนื่องในการประชุมครั้งต่อไป” เป็น “การปรับใช้นโยบายตามความเหมาะสม”
รวมทั้งยังส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียงหนึ่งครั้งภายในปีนี้ ทำให้มาตรการขึ้นดอกเบี้ยอาจสิ้นสุดลงเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายผลกระทบในภาคธนาคารของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนี้อาจทำให้ธนาคารขนาดกลางและขนาดย่อมต้องใช้มาตรการเก็บรักษาเงินสดสำรองและปล่อยกู้น้อยลง กระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุนำไปสู่ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
จากสัญญาณที่เฟดส่งมา โบรกเกอร์ชี้ว่าน่าจะเป็นโอกาสในการทยอยเก็บหุ้นไทย โดย “กิจพณ ไพรไพศาลกิจ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน มองบวกต่อถ้อยแถลงของเฟด เชื่อว่าเฟดกำลังจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากการที่เฟดยังโฟกัสเกี่ยวกับเรื่องดูแลเงินเฟ้อ แสดงถึงความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ถ้อยแถลงว่าปัญหาภาคธนาคารมีผลต่อการขึ้นดอกเบี้ยและทำให้เฟดอาจต้องลดความตึงตัวลง เป็นบวกต่อเส้นทางดอกเบี้ย และการถอดคำพูดเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง (ongoing hike) ที่ปรากฏในแถลงการณ์ 8 ครั้งหลังออกจากแถลงการณ์ล่าสุด เป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดน่าจะใกล้หยุดขึ้นดอกเบี้ยแล้ว
ตลอดจนความเห็นอัตราดอกเบี้ยของกรรมการรายบุคคล (Dot plot) ปี 2567 สูงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่เฟดยืนยันไม่ลดดอกเบี้ยภายในสิ้นปีนี้ ช่วยชะลอการไหลของเงินไปยังตลาดพันธบัตร และตัวชี้วัดความเสี่ยงต่าง ๆ มีสัญญาณปรับลดลง
โดยรวมจึงคงมุมมองบวกต่อนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่มีต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเอื้อต่อการฟื้นตัวของตลาดหุ้นแม้อาจผันผวนช่วงสั้นก็ตาม
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นปรับลงจากความกังวลเกี่ยวกับการส่งสัญญาณไม่เพิ่มการประกันเงินฝากของสหรัฐฯ มองว่าตลาดไม่ได้ผิดหวังที่เฟดไม่ลดดอกเบี้ย แต่สาเหตุสำคัญมาจากการแถลงต่อสภาคองเกรสของรัฐมนตีว่าการ (รมว.) กระทรวงการคลัง เจเน็ต เยลเลน ที่ยืนยันว่ายังไม่มีการพิจารณาเรื่องการเพิ่มระดับคุ้มครองเงินฝากขึ้น จากปัจจุบันที่ไม่เกินบัญชีละ 250,000 ดอลลาร์ฯ
ส่งผลให้ตลาดยังกังวลเกี่ยวกับการไหลออกของเงินฝากจากธนาคารภูมิภาค โดยบางส่วนอาจไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้จากอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับสูง
ภายหลังการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมีความชัดเจน จึงแนะกลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุน โดยให้ถือเงินสด 40% และหุ้น 60% เพิ่มขึ้นจากเดิม 50% คาดบรรยากาศลงทุนจะทยอยปรับดีขึ้น จากปัจจุบันเป็นโอกาสในการซื้อ เน้น selective buy มีธีมการลงทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ หุ้นท่องเที่ยวและเปิดเมือง, หุ้นได้ประโยชน์จากการบริโภคในประเทศ, หุ้นได้ประโยชน์จากต้นทุนลดลง, หุ้นได้ประโยชน์จากผลตอบแทนพันธบัตรผ่านจุดสูงสุด และการย้ายฐานการผลิตมาไทย แนะนำ ERW, VRANDA, SPA, MAJOR, PTG, OR, CPALL, MAKRO, BJC, GULF, BGRIM, GUNKUL, ADVANC, WHA, AMATA, ROJNA เป็นต้น
ด้าน “กรภัทร วรเชษฐ์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า มองบวกต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) และตลาดหุ้นในเอเชีย (ASIA) ที่เศรษฐกิจปี 2566 มีความโดดเด่น โดยไทยถือว่ามีจุดเด่นภาคท่องเที่ยวที่จะหนุนเศรษฐกิจภายใน และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น
ปัจจุบันตลาดหุ้นไทย (SET) ราคาถูก มีค่า P/E ปี 2566 เหลือเพียง 15.4 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยก่อนหน้านี้ที่ 17.3 เท่า จะเป็นแรงหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าปีนี้ที่ 1,800 จุด โดยยังให้ลงทุนหุ้นไทยน้ำหนัก 80% แนะนำหุ้นกลุ่มได้ประโยชน์จากจีนเปิดประเทศ, หุ้นกลุ่มเก็งกำไรมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐ, หุ้นค้าปลีก (Consumer) เช่น AMATA, ERW, CENTEL, SNNP, WHA, DOHOME, MC, SISB, PRM, PLANB, SCGP, CRC, HMPRO, CPALL, BJC, ADVANC, AMATA, SAPPE, ICHI, BBL, KBANK, SCB
เฟด … ส่งซิก… ให้แล้วนะจ๊ะ …ตัวเอง!!!