ไม่กลัว..ต้องลุย
ในเมื่อนักลงทุนทั่วโลกเลิกกังวลกับการ “ขึ้นดอกเบี้ย” และเกิดความรู้สึกไม่กลัวกับการที่ “แบงก์ล้ม” ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเหนียมอายอะไรทั้งนั้น
ในเมื่อนักลงทุนทั่วโลกเลิกกังวลกับการ “ขึ้นดอกเบี้ย” และเกิดความรู้สึกไม่กลัวกับการที่ “แบงก์ล้ม” ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเหนียมอายอะไรทั้งนั้น เพราะจังหวะนี้เปิดให้ผู้กล้าเข้ามาไล่หุ้นแบบอันลิมิต เพราะในมุมของกลไกต่าง ๆ มันช่างขัดกับเรื่องพื้นฐานเหลือเกิน “โมนิก้า” ถึงมองว่า จังหวะนี้ไม่มีใครสนใจอะไรอีกแล้ว และขอแค่มีคนจุดพลุนำร่องไล่ราคาหุ้นให้เห็น ทุกคนก็พร้อมจะกระโจนใส่ไม่ยั้งเจ้าค่ะ
วันนี้จึงต้องถามว่า การยืนปิดที่ระดับ 1,591.85 จุด ลบไป 1.80 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.49 หมื่นล้านบาท สะท้อนอะไรให้เห็นบ้างในเที่ยวนี้? และการขึ้นไปยืนเหนือระดับ 1,600 จุดไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม? ทั้งหมดเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง เพราะในมุมของเดี๊ยนยังรู้สึกหวั่นไหวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ แต่ไม่อาจฝืนกระแสของมหาชนที่เกิดขึ้นได้พะย่ะค่ะ
เหมือนกับการโลดแล่นของหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ KCE กลายเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นอาการคลายกังวลของนักลงทุนสถาบันได้เป็นอย่างดี เพราะการกลับมาไล่ซื้อหุ้นแบบจริงจังในรอบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของไทม์มิ่งมากกว่าประเด็นไหน ๆ ซึ่งดูได้จากราคาหุ้นที่ลงมานาน ผสานกับบรรยากาศที่เริ่มเป็นใจมากขึ้น หุ้นถึงยืนปิดที่ 45.75 บาท บวกไป 1 บาท หรือขึ้นไป 2.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 614 ล้านบาท และพร้อมจะขึ้นไปหาฐาน 50 บาทอีกครั้งไงล่ะคะ
ส่วนรายที่น่าเป็นห่วงดันกลายเป็น EPG หลังราคาหุ้นทรุดตัวลงมาเรื่อย ๆ แม้จะพยายามดีดตัวขึ้นอีกรอบ แต่สุดท้ายก็ไหลลงทำโลว์ใหม่อีกจนได้ จึงอยากให้แฟนคลับประเมินการยืนปิดที่ระดับ 8.20 บาท ลบไป 0.15 บาท หรือลงไป 1.80 % ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 13 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 20 เท่า ท่ามกลางมีประเด็นเศรษฐกิจฝั่ง “ยุโรป” กับ “อเมริกา” ยังมีปัญหาคุกรุ่นตลอดเวลาแบบนี้..,มันน่าเสี่ยงเล่นดูสักตั้งไหมเอ่ย?
คล้ายกับการทะยานขึ้นของหุ้น KAMART ก็เป็นช็อตที่ขาลุยใส่ไม่ยั้งในช่วงสองวันที่ผ่านมา แต่ราคาหุ้นก็ขยับขึ้นมาได้แค่ 7.90 บาท บวกไป 0.15 บาท หรือขึ้นไป 1.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 108 ล้านบาท ซึ่งเมื่อดูรวม ๆ ราคาหุ้นก็ขึ้นราว 13% และมีความเป็นไปได้ที่บรรดาขาลุยจะซัดกันอีกในวันนี้ “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นประเมินการขึ้นเที่ยวนี้มีสิทธิ์ไปถึง 9 บาทเหมือนเที่ยวก่อน เพราะหุ้นเพิ่งเทรดบน PE 20 เท่าเองจ้า!
ส่วนรายที่มีลุ้นทำ all time high แบบเห็นเนื้อเห็นหนัง “โมนิก้า” คงต้องสอดส่ายตาไปยังหุ้น SISB เป็นรายถัดมา เพราะการขึ้นมาปิดที่ระดับ 26.50 บาท บวกไป 1 บาท หรือขึ้นไป 3.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 130 ล้านบาท โดยได้แรงขับเคลื่อนหลักมาจากการเติบโตของรายได้และกำไรแบบนี้ มันเป็นช็อตที่น่าตามไปดูสำหรับนักเล่นสายแวลู เพราะทุกคนเห็นกันอย่างทนโท่ว่า โรงเรียนนานาชาติรายนี้ได้รับความนิยมจากผู้ปกครองมากขึ้นน่ะซี
สำหรับรายที่เริ่มฟื้น และกำลังตั้งลำรอบใหม่ เดี๊ยนอยากให้แฟนคลับมองไปที่หุ้น SGC เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับการเล่นสั้น ๆ เพราะในมุมของผลงานก็ยังไปได้ดี หรือมองในมุมของโอกาสทางธุรกิจก็ยังเปิดกว้าง “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นประเมินการยืนปิดที่ระดับ 3.20 บาท บวกไป 0.06 บาท หรือขึ้นไป 2.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 61 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 15 เท่าแบบนี้..มันเสี่ยงมาก หรือเสี่ยงน้อย ลองไปคิดกันดูนะคะ
ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” อยากเอ่ยถึงม้ามืดที่ขึ้นเงียบ ๆ เป็นเวลาสี่เดือนอย่างหุ้น Q-CON ในทันที เพราะก่อนหน้านี้ราคาหุ้นย่ำต๊อกต๋อยอยู่ที่ระดับ 6 บาท แต่วันนี้ยืนปิดที่ 17.70 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 0.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 62 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 23 เท่าแบบนี้ มันเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่นักเล่นต้องประเมินกันเองว่า..ไตรมาส 1 ปี 66 ผลงานจะเจิดจรัสเหมือนปีที่ผ่านมาแค่ไหน? ต่อจากนั้นจะเดาทางออกว่า หุ้นจะไปต่ออ๊ะป่าว?
ตบท้ายกันที่หุ้น KJL กันดีกว่า เพราะเป็นหุ้นที่มาด้วยสตอรี่โกรทแบบเต็มตัว จึงกลายเป็นหุ้นที่ขาลุยเข้ามาตะลุมบอนกันอย่างเมามัน ซึ่งในบางจังหวะก็ดันสุดซอย แต่ในบางจังหวะก็สาดหุ้นหนัก แต่ล่าสุดก็ถูกดันขึ้นมาปิดที่ระดับ 15.40 บาท บวกไป 1.80 บาท หรือขึ้นไป 13.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 205 ล้านบาท ท่ามกลางเรื่องราวที่ว่า บริษัทอยู่ในช่วงขยายกำลังการผลิต และเทรดบน PE 24 เท่าแบบนี้..เหมาะที่จะตามน้ำไหมล่ะคะ