BBIK กาง 3 แผนนิวไฮ 7 ปีซ้อน

บริษัทจะมุ่งเน้นการทำ Synergy ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทในเครือทั้งหมดในปี 66 เพื่อสร้างการเติบโตร่วมอย่างมีเสถียรภาพ


นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK กล่าวว่า บริษัทจะมุ่งเน้นการทำ Synergy ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทในเครือทั้งหมดในปี 66 เพื่อสร้างการเติบโตร่วมอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวตามแผน “Growth at Scale”

วิธีที่กระทำคือ การยกระดับการให้บริการแบบครบวงจรที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั้งขนาดใหญ่และกลาง พร้อมลุยธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโต ตั้งเป้าขยายสัดส่วน Recurring Income โดยใช้จุดแข็งของแต่ละบริษัทเข้าไปสนับสนุนการให้บริการและการเติบโตทั้งในส่วนรายได้และกำไร เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจผ่าน Cross-Selling และ Up-Selling ระหว่างกัน

เหตุผลที่นายพชรมั่นใจเกิน 100% เกิดจาก 1) การเติบโตแบบ Organic growth เพราะการระดมทุนจากการขายหุ้น IPO ที่ช่วยให้บริษัทสามารถปลดล็อกปัญหาจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีไม่เพียงพอ โดยมีอัตรากำลังที่เพิ่มขึ้นจาก 350 เป็น 800 ชีวิต 2) การเข้าซื้อกิจการของ VDD และ Innoviz ยังสร้างการเติบโตแบบ Inorganic growth ให้กับบลูบิคเป็นปีแรกของการเติบโตของผลประกอบการนับจากนี้ของบริษัทฯ จะเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ

ทั้งความสามารถที่เพิ่มขึ้นทั้งสองทางหรือการเติบโตแบบ 360 องศา ให้รองรับการขยายบริการทั้งในและต่างประเทศ และบรรลุเป้าหมายการได้รับคัดเลือกเข้าดัชนี SET100 ตามแผนที่วางไว้ในปี 2565

ในปี 2566 จะเป็นปีแรกที่บริษัทสามารถเติบโตแบบ Inorganic Growth หลังปิดดีลควบรวมกิจการบริษัท วัลแคน ดิจิทัล เดลิเวอรี่ จำกัด (VDD) และบริษัท อินโนวิซ โซลูชั่นส์ จำกัด (Innoviz) เสร็จสิ้น แล้วผลักดันให้เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นผลสำเร็จ ทำให้สามารถบันทึกรายได้และกำไรของทั้งสองบริษัทได้ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี

อีกทั้งกลุ่มบริษัทยังได้รับอานิสงส์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI อีกด้วย ทำให้บริษัทตั้งเป้าผลประกอบการปี 2566 จะโตได้ถึง 120% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 100% ซึ่งจะเป็นการทำ New high ต่อเนื่อง 7 ปีซ้อนต่อจากปี 2565 ที่ทั้งรายได้และกำไรของบริษัทฯ โตทุบสถิติต่อเนื่องอีกครั้ง ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) ถึง 70% ต่อปี ถือเป็นการเติบโตในอัตราที่สูงและเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ

การขยายตัวแบบ 360 องศาทั้งตลาดในและต่างประเทศ อีกทั้งการผนึกกำลังยังช่วยเสริมแกร่งให้กับกลุ่มบริการหลักรองรับความต้องการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่ยังเติบโตแรง สะท้อนผ่านมูลค่าแบ็กล็อกของบลูบิค และบริษัทในเครือ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา ที่สูงถึง 979 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น บลูบิคจำนวน 454 ล้านบาท บริษัทร่วมค้า (JV) 157 ล้านบาท และ VDD และ Innoviz 368 ล้านบาท (โดยมูลค่าแบ็กล็อกของ VDD และ Innoviz ที่บันทึกเป็นรายได้เข้าบริษัทแม่ จะเป็นมูลค่าแบ็กล็อกคงเหลือ ณ วันที่ปิดดีลเสร็จสมบูรณ์ในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา)

ทั้งนี้การเติบโตแบบ “Growth at Scale” บริษัทฯ ได้วางแนวทางการเติบโตไว้ 3 แนวทาง ดังนี้

แนวทางที่ 1 ผนึกกำลังบริษัทในเครือปูทางสู่การเติบโตระยะยาว : เร่งผสานการทำงานและความร่วมมือระหว่าง บลูบิค กับ VDD และ Innoviz เพื่อเพิ่มอัตราทำกำไรและ Revenue per Head ของทั้งสอง บริษัทที่เข้ามาอยู่ใต้ร่มใบเดียวกัน ในขณะที่บลูบิคที่เป็นบริษัทแม่หลัก ยังคงเดินหน้าขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มที่เป็นองค์กรขนาดกลางและภาครัฐซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักของสองบริษัท พร้อมทั้งเดินหน้าผนึกกำลังการทำงานร่วมกันของทุกบริษัทในเครือ

แนวทางที่ 2 เพิ่มขีดความสามารถแบบ Synergy ในการรับงานมูลค่าระดับหลายร้อยล้านบาท พร้อมแข่งขันบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก : ซึ่งการ Synergy ระหว่างบลูบิคและบริษัทในเครือ แบบ 360 องศา ผนวกกับประสบการณ์การพัฒนาโซลูชันและแอปพลิเคชันที่สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้งานระดับ

หลายร้อยล้านคน จะทำให้บริษัทสามารถรับงานขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าหลายร้อยล้านบาทและเป็นตลาดที่มีคู่แข่งน้อยราย โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าไทยหลายเท่าตัว ซึ่งบริษัทฯ มีข้อได้เปรียบด้านโครงสร้างราคาที่สามารถแข่งขันได้ จากปัจจัยดังกล่าวนี้จะทำให้บลูบิคกลายเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันสัญชาติไทยเพียงรายเดียวที่เทียบชั้นบริษัทต่างชาติได้

แนวทางที่ 3 รุกธุรกิจใหม่และเสริมแกร่งบริการหลักต่อเนื่องผ่าน JV, M&A พร้อมลุยขยายตลาดต่างประเทศ: เดินหน้าขยายธุรกิจผ่านกิจการร่วมค้า (Joint Venture) และการควบรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions-M&A) โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตและส่งเสริมบริการหลักให้แข็งแกร่งขึ้น เช่น Big Data การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มและโซลูชันที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนการขยายธุรกิจไปต่างประเทศต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาโอกาสทางธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา

ความเชื่อมั่นของผู้บริหารระดับ CEO ที่เชื่อมั่นว่า การขยายธุรกิจตามแผนงานของ บลูบิค นั้นสอดรับกับแนวคิดการทำธุรกิจแห่งโลกอนาคต “Digital Company” ที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นกลไกในการขับเคลื่อนทำให้คิดถึงคำกล่าวของ อีลอน มัสก์แห่งบริษัทรถยนต์ เทสล่า ที่ราคาหุ้นกระโดดขึ้นไปที่ระดับ เกือบ 200 ดอลลาร์ ทั้งที่ผลประกอบการไม่เคยมีกำไรสุทธิเลย

ที่ผ่านมาปี 2565 ราคาหุ้น BBIK ถือได้ว่า วิ่งสวนทางจากดัชนี SET ของตลาดโดยวิ่งขึ้นจากราคาต่ำสุดที่ระดับ 75.00 บาทไปที่ระดับ 150.00 บาท หรือเพิ่มขึ้น 100% แต่ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นมาแรงอย่างนี้ (แม้ราคาจะปรับตัวลงมาต่ำกว่าร้อยยี่สิบบาท) จะวิ่งขึ้นไปต่ออีกแค่ไหน ยากจะคาดเดา   เพราะค่า P/E ล่าสุดอยู่ที่ 85 เท่าเข้าไปแล้ว

ใครจะซื้อขอให้ใช้ดุลยพินิจก็แล้วกัน

Back to top button