พาราสาวะถีอรชุน
“ในความเป็นส่วนตัวผมก็ต้องห่วง น้องผมนะ แต่ในความรับผิดชอบก็ต้องทำอย่างที่ผมบอก โดยเอาระเบียบ เอากติกาที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว ผมโตด้วยกันมา จะผิดจะถูก ถ้าผิดก็ต้องยอมรับ ถ้าไม่ผิดก็โอเค ทำงานไป ก็ไปหาคนผิดมาลงโทษก็เท่านั้น แล้วจะอะไรกันนักหนา” นี่คือคำพูดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กล่าวถึง พลเอกอุดมเดช สีตบุตร น้องรักแห่งค่ายบูรพาพยัคฆ์
“ในความเป็นส่วนตัวผมก็ต้องห่วง น้องผมนะ แต่ในความรับผิดชอบก็ต้องทำอย่างที่ผมบอก โดยเอาระเบียบ เอากติกาที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว ผมโตด้วยกันมา จะผิดจะถูก ถ้าผิดก็ต้องยอมรับ ถ้าไม่ผิดก็โอเค ทำงานไป ก็ไปหาคนผิดมาลงโทษก็เท่านั้น แล้วจะอะไรกันนักหนา” นี่คือคำพูดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กล่าวถึง พลเอกอุดมเดช สีตบุตร น้องรักแห่งค่ายบูรพาพยัคฆ์
การถูกตอกย้ำถามบ่อยๆ เกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อปมทุจริตอุทยานราชภักดิ์ ถือเป็นสถานการณ์เขม็งเกลียวของผู้มีอำนาจ ที่อาจจะต้องตัดสินใจว่าจะเลือกอย่างไหนระหว่างศักดิ์ศรีความเป็นรัฐบาลทหารที่ดันปล่อยให้เกิดเรื่องโกงในโครงการที่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของประชาชนทั้งประเทศ ขณะที่คนที่อยู่ในข่ายถูกจับจ้องคงไม่ได้มีแค่น้องรักคนเดียวเท่านั้น
แน่นอนว่าการยืนยันในหลักการกระบวนการตรวจสอบ ต้องถามบิ๊กตู่คราว พลเอกธีรชัย นาควานิช ตั้ง พลเอกวีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล ไปดำเนินการในนามกองทัพบกกับบทสรุปที่ได้ยังไม่เข็ดอีกหรือ หนนี้ความน่าเชื่อถือของคณะตรวจสอบกระทรวงกลาโหมจะมีมากน้อยขนาดไหน ยิ่งมีการตีในประเด็นตั้งผู้ใต้บังคับบัญชาสอบผู้บังคับบัญชา ผลมันจะน่าเชื่อถืออย่างนั้นหรือ
คำถามลักษณะนี้ไม่ได้แค่ข้องใจเฉพาะคณะตรวจสอบเท่านั้น หากแต่มันจะลามไปถึงความน่าเชื่อถือเชื่อมั่นของการประกาศทำสงครามกับการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลคสช.ด้วย อย่างไรก็ตาม หากผลออกมาโดยมีการแจกแจงงบประมาณในการก่อสร้างทั้งงบแผ่นดินและเงินบริจาคได้ละเอียดยิบ ก็เชื่อว่าสังคมจะหมดคำถาม แต่ถ้ายังเกิดอาการแทงกั๊ก บิ๊กตู่และชาวคณะก็ต้องพร้อมที่จะรับแรงกระแทกซึ่งจะหนักหน่วงขึ้น
วันนี้ต้องไม่ลืมว่าจากเดิมที่สังคมอาจตั้งคำถามและรอคอยคำตอบยังไม่ถึงขั้นเชื่อว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง แต่พลันที่เกิดการจับกุมตัวสองแกนนำนปช.ที่ตั้งใจจะเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ ฟันธงได้เลยว่าคนส่วนใหญ่เทใจไปในทางเชื่อว่ามีความไม่โปร่งใสเกิดขึ้นกับโครงการนี้ เรียกได้ว่าจากที่กำลังจะปิดเกม รักษาแผล กลับเป็นการขยายแผลสร้างผลให้เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นไปอีก
ไม่ต้องถามว่ากดดันและเครียดขนาดไหน ดูจากท่วงทำนองของท่านผู้นำก็รู้กันอยู่แล้ว ประเภทที่ประกาศย้ำแล้วย้ำอีก ผมไม่ได้โมโหแค่เสียงดัง ไม่ได้โกรธแค่อากาศมันร้อน ก็แค่การออกตัวที่ไม่เนียนเท่านั้นเอง อย่างน้อยก็ดีเหมือนกันเพราะจะได้เป็นเครื่องเตือนสติผู้มีอำนาจที่เคยบอกว่า “บริหารประเทศไม่เห็นยากตรงไหน” วันนี้คงได้ลิ้มรสแล้วว่ามันเป็นอย่างที่ลั่นวาจาไว้หรือไม่
ด้านหนึ่งถูกท้าทายเรื่องความสุจริต โปร่งใส อีกด้านก็กำลังเผชิญกับปมว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ตำรวจไปออกหมายเรียก 6 นักวิชาการที่แถลงข่าวแถลงการณ์มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร ผลสะเทือนจากวันนั้นถึงวันนี้มีการขยายขอบเขตข้อเรียกร้องจากมหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร ไปเป็นประเทศไม่ใช่ค่ายกักกัน กันไปแล้ว
ล่าสุด เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง ก็ได้ออกแถลงการณ์ในนามเครือข่ายประชาชนเพื่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น “มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร ประเทศไม่ใช่ค่ายกักกัน” เชิญชวนประชาชนทั่วไปร่วมลงชื่อเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทหารและคสช.ยุติการกระทำอันละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนในทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข ด้วยเหตุผลที่ชอบธรรมอันได้แก่
คำสั่งคสช.ไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่ต้น รัฐบาลทหารจึงไม่สามารถอาศัยคำสั่งคสช.ซึ่งผิดกฎหมายเป็นเกณฑ์ในการกล่าวหาว่าบุคคลกระทำผิดกฎหมายหรืออาศัยเป็นหลักมุ่งหมายเพื่อให้บุคคลประพฤติปฏิบัติตามได้ การกล่าวหาว่าประชาชน นักวิชาการ นักศึกษาและสื่อมวลชน ไม่เคารพหรือทำผิดกฎหมายโดยอาศัยคำสั่งคสช.จึงสะท้อนให้เห็นถึงการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ ที่ขัดต่อหลักกฎหมายของประเทศและระหว่างประเทศ
การแสดงความเห็นของประชาชน นักวิชาการ นักศึกษาและสื่อมวลชน ด้วยการเสนอข้อมูลอย่างสันติและไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่นนั้น เป็นไปเพื่อให้สังคมมีมุมมองรอบด้านและแสวงหาทางออกร่วมกัน ดังที่เคยเป็นมาในรัฐบาลประชาธิปไตย วิถีทางประชาธิปไตยไม่ได้เป็นเหตุแห่งความสับสนวุ่นวายแต่อย่างใด รัฐบาลที่ใช้อำนาจเผด็จการโดยไม่ยอมฟังเสียงพลเมืองของตนย่อมขัดต่อหลักการประชาธิปไตย
ต้องหยุดการดำเนินคดีและการข่มขู่คุกคามการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยสุจริตและอย่างสันติโดยเครือข่ายประชาชนเห็นว่าการใช้วาทกรรม “ปรับทัศนคติ” ส่อเจตนารมณ์ของการใช้อำนาจเผด็จการบังคับชี้นำ ผู้มีอำนาจควรที่จะเรียนรู้วิถีทางประชาธิปไตยโดยใช้วิธีการ “แลกเปลี่ยนทัศนคติ” กับผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างอย่างเปิดเผยทั่วหน้าและเสมอภาค อันจะนำมาซึ่งความสุขสงบและความมั่นคงของสังคมอย่างแท้จริง
รัฐบาลทหารและคสช. ต้องคืนอำนาจให้ประชาชน เลิกใช้วิธีการร่างรัฐธรรมนูญที่มีประเด็นแอบแฝงซ่อนเร้น สร้างเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมหรือใช้กระบวนการร่างที่ประชาชนไม่อาจยอมรับได้มาถ่วงเวลายื้อยืดอำนาจของตนเอง รัฐบาลคสช.พึงยอมรับความจริงว่า ช่วงเวลาปีกว่าที่ผ่านมาได้แสดงให้พลเมืองเห็นแล้วว่า รัฐบาลทหารไม่มีความสามารถ ไม่มีความจริงใจและไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาของประเทศจริงๆ อีกทั้งกลับทำให้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นเลวร้ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ข้อเรียกร้องของกลุ่มดังกล่าวนั้น น่าจะสอดคล้องกับความเห็นของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่ได้พูดบนเวทีเสวนาหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ที่ว่า สิทธิเสรีภาพซึ่งกฎหมายได้รับรองไว้แล้วทั้งหมดต้องยังอยู่ คณะรัฐประหารอาจจะตั้งรัฐบาลได้ ทำอะไรก็ทำไป แต่จะละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชนที่ตราไว้ในกฎหมายแล้วไม่ได้ จะละเมิดอำนาจอธิปไตย สิทธิของปวงชนไม่ได้
จะว่าไปแล้วในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาทดสอบสภาพจิตใจของผู้มีอำนาจ ในจังหวะที่ถูกท้าทายด้วยหลายเหตุการณ์ หรือจะเป็นอย่างที่อาจารย์นิธิว่าไว้ หลังรัฐประหารคณะผู้ยึดอำนาจเข้ามาบริหารปกครองทำได้ยาก ขนาดที่ผู้มีอำนาจไม่สามารถหรือไม่อยากที่จะสืบทอดอำนาจด้วยการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยซ้ำ