โลกดีที่สุดเท่าที่เป็นได้พลวัต2015
เหตุการณ์ 3 เรื่องที่ล้วนมีบทบาทกำหนดทิศทางตลาดและราคาหุ้นทั่วโลกเกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน ทำให้ตลาดผันผวนน่าเสียวสยองยามนี้ ประกอบด้วย 1) การประชุมโอเปกครั้งสุดท้ายของปี 2) การประกาศมาตรการเพิ่ม QE ของธนาคารกลางยุโรป และ 3) การขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกรอบ 9 ปีของเฟดในสองสัปดาห์ข้างหน้า
เหตุการณ์ 3 เรื่องที่ล้วนมีบทบาทกำหนดทิศทางตลาดและราคาหุ้นทั่วโลกเกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน ทำให้ตลาดผันผวนน่าเสียวสยองยามนี้ ประกอบด้วย 1) การประชุมโอเปกครั้งสุดท้ายของปี 2) การประกาศมาตรการเพิ่ม QE ของธนาคารกลางยุโรป และ 3) การขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกรอบ 9 ปีของเฟดในสองสัปดาห์ข้างหน้า
ก่อนการประชุมโอเปกวันนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ออกฤทธิ์ ร่วงเมื่อคืนวันก่อนปิดใต้ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำสุดในรอบ 5 เดือนให้เห็น ก่อนจะมีข่าวดีมาหนุนเด้งกลับมาเมื่อวานว่า ซาอุดีอาระเบียในฐานะผู้นำกลุ่มโอเปก เสนอเงื่อนไขลดการผลิตกลุ่มลงวันละ 1 ล้านบาร์เรลต่อวันลง เพื่อกันหายนะมาเยือนสมาชิก
ส่วนเมื่อคืนที่ผ่านมา ก็คงรู้แล้วว่า มาตรการเพิ่ม QE ของยูโรโซน ที่ธนาคารกลางยุโรปประกาศไป จะส่งผลต่อค่าเงินยูโร และตลาดหุ้นยุโรปแรงแค่ไหน แต่ก็ถือเป็นข่าวบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลกมากกว่าข่าวร้าย
ส่วนกรณีของเฟดจะมีผลตรงเมื่อการประชุมวันที่16 ธันวาคมของเฟดจบลงไปแล้ว โดยมีปฏิกิริยาตอบสนองทางลบมากน้อยแค่ไหนยังไม่ชัดเจน เพียงแต่นางเจนน็ต เยลเลน ประธานเฟดยืนยันชัดว่าต้องขึ้นทีละน้อย ก่อนที่จะขึ้นช้าแล้วต้องขึ้นแรงในภายหน้า
ตลาดหุ้นไทยซึ่งในเดือนพฤศจิกายนถึงต้นธันวาคมร่วงหนักชนิดไม่มีแนวรับนานกว่า 2 สัปดาห์ อย่างผิดธรรมชาติ จะเริ่มแสดงปฏิกิริยาขานรับข่าวทั้งสามดังกล่าวอย่างไร เป็นคำถามใหญ่ ไม่ใช่แค่นักวิเคราะห์เท่านั้นที่ควรรู้ แต่นักลงทุนที่มีส่วนได้เสียโดยตรงต้องรู้มากกว่า
เมื่อวานนี้ อารมณ์ที่เศร้าหมองจากการร่วงหนักโดยไม่มีเหตุผลเพียงเพราะแรงขายของพอร์ตโบรกเกอร์ ทำให้ดัชนีร่วงไปที่แนวต้าน 1,330 จุด ทำท่าหลุดไปเฉยๆ ลบไปกว่า 13 จุด แต่วอลุ่มที่เข้ามาแรงที่แนวรับดังกล่าว ดันราคาหุ้นกลับมาแรงจนปิดบวกได้ เข้าข่าย “เปิดต่ำปิดสูง” ไม่ว่าจะเป็นแค่ “แมวตายเด้ง” ชั่วคราว หรือการเปลี่ยนทิศของมอร์นิ่งสตาร์ ก็น่ายินดีตรงที่มูลค่าซื้อขายกลับมาคึกคักอีกครั้งมากกว่า 4.3 หมื่นล้านบาทในรอบหลายสัปดาห์
แนวรับที่ตอกย้ำว่า 1,330 จุด จะไม่ลงไปใต้อีกนั้น การันตีได้หรือไม่ว่า ตลาดหุ้นไทยจะไม่สร้างจุดต่ำสุดใหม่ของปีนี้อีก คำตอบคือไม่ใช่ แม้คำพูดปลอบประโลมใจซ้ำซาก จากความพยายามของจิตวิทยาแบบ “มะนาวหวาน” ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น ที่พูดแบบนกแก้วนกขุนทองว่า ตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคงจะแกว่งตัวในกรอบแคบ(Sideway) ตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้ เพราะรับข่าวร้ายจากภายนอกไปหมดแล้ว จะเป็นแค่คำพูดหวานหู ที่ไม่น่าเชื่อถือมากนัก
ความน่าสนใจของตลาดหุ้นโลกยามนี้และจากนี้ไปอยู่ที่ตลาดจีน และญี่ปุ่น
ตลาดหุ้นจีน มีความพยายามล้างบ้านด้วยการเพิ่มมาตรการเข้มงวดกับพฤติกรรมการซื้อขายสุ่มเสี่ยงอย่างบัญชีมาร์จิ้น หรือการปล่อยเงินกู้ผิดกฎหมายเพื่อซื้อขายหุ้น หรือการทำโพยก๊วนเอาเงินไปฟอกในตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่มาตรการล้างบ้านเหล่านี้แม้จะกระทบต่อการซื้อขายบางช่วงสั้นๆ กลับทำให้ดัชนีของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้มีทิศทางขาขึ้นใหม่ที่ชัดเจนมากขึ้นจนเข้าใกล้ระดับ 4,000 จุดอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าอีกไม่เกิน 2 เดือนจะฝ่าขึ้นไปได้ เพราะโมเมนตัมขาขึ้นมาแรงชัดเจน
การเปิดเสรีค่าหยวนเพราะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตะกร้า SDRs ของไอเอ็มเอฟ คือเหตุปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า แม้ยอดตัวเลขจีดีพีของจีนจะถดถอยลงต่ำกว่า 7% ต่อปี แต่การพังทลายแบบฮาร์ดแลนดิ้งจะไม่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
คำพูดเชิงนามธรรมที่ว่าจีนกำลังเปลี่ยนโมเดลการเติบโตจากเชิงปริมาณในยุค 4 ทันสมัยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เข้าสู่โมเดลใหม่คือเติบโตเชิงคุณภาพ กำลังได้รับการยืนยันและทำให้ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ที่ผ่านการทดสอบมาครั้งที่สองไม่นาน กลับมาอยู่ในเรดาร์ของกองทุนเฮดจ์ฟันด์โลกอีกครั้ง
ส่วนญี่ปุ่นนั้น มาตรการ QE ใหม่ของยูโรโซนที่ทำให้ผู้บริหารของธนาคารกลางญี่ปุ่นปรารภอย่างหนักใจว่า จะเป็นผลให้การบริหารนโยบายการเงินญี่ปุ่นลำบากมากขึ้นเพราะค่าเงินยูโรที่ต่ำลง ส่งสัญญาณชัดเจนว่า หากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ไม่ได้ทำให้ญี่ปุ่นได้รับผลบวกดีมากนัก โอกาสที่มาตรการ QE ใหม่ของญี่ปุ่น ที่ธนาคารกลางออกมาพูดย้ำหลายเดือนนี้ว่าจะไม่ออกมาเพิ่มเติม จะถูกเข็นออกมาใช้แน่นอน
ช่วงเวลาที่เหลือไม่ถึงเดือนของปีนี้ ใครจะกล้าตั้งคำถามเกี่ยวกับปรากฏการณ์ Christmas Rally หรือ December Effect หรือถามหาแนวต้าน 1,450 จุด อาจจะลดลง แต่การตั้งคำถามดังกล่าว เป็นความท้าทายพอสมควร ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่
เหตุผลก็เพราะโลกที่เป็นอยู่นี้ อาจจะสอดคล้องกับปรัชญาพิลึกพิลั่นของก็อดฟรีด ไลบ์นิซ ที่ว่าความเลวร้ายทั้งหลายในโลกนี้เป็นสิ่งดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แล้ว หรือนี่เป็นโลกของความเป็นไปได้
หรือ “the best of all possible worlds“ นั่นเอง
หุ้นมีขึ้นได้ ก็ลงได้ และมีลงได้ก็ขึ้นได้ ไม่มีอะไรมากกว่านี้
ความยินดีปรีดา ยามหุ้นขึ้น อาจจะไม่ยั่งยืน แต่ก็ดีกว่าความเศร้าหมองยามหุ้นร่วง