พาราสาวะถี

วันเวลาตามปฏิทินและนาฬิกาปกติอาจดูเหมือนว่าจะเดินเร็ว เผลอแป๊บเดียวสิ้นเดือนมีนาคม พ้นไตรมาสแรกของปีนี้ เข้าสู่ไตรมาสที่ 2


วันเวลาตามปฏิทินและนาฬิกาปกติอาจดูเหมือนว่าจะเดินเร็ว เผลอแป๊บเดียวสิ้นเดือนมีนาคม พ้นไตรมาสแรกของปีนี้ เข้าสู่ไตรมาสที่ 2 เรื่องของเศรษฐกิจไม่ต้องพูดถึง ความมุ่งหวังปมปากท้องของชาวบ้านก็อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังเลือกตั้ง แต่ในทางการเมืองทุกวินาทีและนาทีที่ผ่านมา มันช่างช้ากว่าใจบรรดานักการเมืองอาชีพทั้งหลาย ส่วนใหญ่อยากจะให้หย่อนบัตรวัดกันเสียให้รู้แล้วรู้รอดวันนี้พรุ่งนี้ไปเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าตัวเองและพรรคจะโดนอะไรบ้าง

ฝ่ายกุมอำนาจที่เคยมั่นใจมาตลอดกลไกของขบวนการวางแผนที่สืบเนื่องมานับตั้งแต่การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 จนได้อยู่ยาวกันสมใจ ผ่านการเลือกตั้งไปหนึ่งครั้งทำทุกอย่างเป็นไปตามแผน มาถึง พ.ศ.นี้หลังจากที่แก้บัตรเลือกตั้งเป็น 2 ใบ และสถานการณ์บังคับให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องกระโดดสวมหัวโขนนักการเมืองเต็มตัวแบบไม่เต็มใจ โจทย์ที่เคยว่าง่ายมันยากขึ้นทุกที ทั้งจากปัจจัยไร้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดคอยบีบคอนักการเมืองย้ายคอกเปลี่ยนข้าง รวมทั้งคะแนนนิยมที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินต่อเนื่อง

ฟังเหตุผลที่ไม่ยอมลงสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว มันไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมาย คำพูดที่ว่ารัฐธรรมนญไม่ได้กำหนดให้ต้องเป็น ส.ส.แล้วถึงจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ นั่นก็ถูก และเป็นเหตุผลส่วนตัว นั่นก็ใช่ ยิ่งบอกว่า “ก็มันเรื่องของผม” ยิ่งเป็นภาพสะท้อนชัดต่อความไม่มั่นใจในผลของการเลือกตั้ง หากไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมกลยุทธ์ของนักกฎหมายขายตัวโดยมีองคาพยพที่เป็นข้ารับใช้กันมาต่อเนื่อง คงยากที่จะได้เห็นพรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจคว้าชัยชนะ หรือไล่เบียดไล่บี้กับพรรคขนาดใหญ่

เมื่อแสดงความแข็งกร้าวว่าด้วยเรื่องของผม ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเดินตามที่ใครขีดไว้หรือต้องการให้อาจเป็น มันก็มีเรื่องที่ชวนให้คิดต่อไป วันพุธที่ผ่านมาองค์กรเอกชนและ กกต.เชิญพรรคการเมืองมาร่วมลงนามในสัตยาบรรณและสัญญาประชาคมว่า จะไม่ซื้อเสียง ไม่โจมตีใส่ร้าย สู้กันด้วยนโยบาย ไม่ใช้ไอโอ เฟคนิวส์  และสัญญาว่าจะไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เอาเสียง ส.ว.ที่ประชาชนไม่ได้เลือกมาช่วยให้ชนะในการเลือกนายกฯ

ปรากฏว่า 31 พรรคการเมืองเข้าร่วมโดยพร้อมเพรียง ขาดแต่สองพรรคสำคัญคือ รวมไทยสร้างชาติและพลังประชารัฐ คำถามก็คือทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะการเชิญเข้าร่วมไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือหัวหน้าพรรคเท่านั้น ผู้แทนของพรรคคนไหนก็ได้ จะอ้างเหตุผลว่าไม่ว่างก็คงจะไม่มีน้ำหนักพอ ถ้าบอกว่าไม่ให้ความสำคัญเรื่องนี้ไร้สาระ ก็ต้องช่วยกันอธิบายว่ามันไม่มีประโยชน์ตรงไหน แค่กิจกรรมหนึ่งที่ทำให้เกิดภาพแต่ปฏิบัติจริงไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยทำให้ทุกพรรคการเมืองระมัดระวัง และได้แสดงความบริสุทธิ์ใจหรือไม่

หากไม่ใช่ทั้งสองเหตุผลดังกล่าว ก็เหลือแค่เหตุผลเดียว ทั้งสองพรรคไม่กล้าที่จะให้สัตยาบรรณและลงนามในสัญญาประชาคม ในส่วนของพรรคสืบทอดอำนาจอาจมีบางประเด็นที่เกรงว่าจะทำไม่ได้ แต่พรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจน่าจะหนักกว่า เนื่องจากถูกจับตามองและวิจารณ์กันอย่างหนัก สิ่งที่เป็นสัญญาประชาคมดังกล่าวพรรคของท่านผู้นำอาจจะทำได้ในกรณีที่ว่าไม่ซื้อเสียง ไม่โจมตีให้ร้าย และสู้กันด้วยนโยบาย

แต่เรื่องการทำไอโอ ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารนั้นทำกันต่อเนื่องทั้งทางลับและเปิดเผย โดยเฉพาะการใช้สื่อที่ก็รู้ว่าใครให้การสนับสนุนเป็นเครื่องมือในการให้ข่าวชี้นำ ซึ่งความจริงก็จะได้รับความเชื่อถือจากพวกกองเชียร์ที่ไม่ลืมหูลืมตาเท่านั้น เมื่อเกิดการใช้ไอโอเพื่อหวังผลเลือกตั้งแล้ว เรื่องของข่าวปล่อย ข่าวเท็จ หรือเฟคนิวส์ ย่อมตามมาด้วย ที่ผ่านมามีการกล่าวหาว่าฝ่ายตรงข้ามดำเนินการทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเอง ทั้งที่ความจริงเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าใครกันที่สร้างความเท็จ ข่าวลวงหลอกประชาชนตลอดเวลา

ประเด็นที่ทำให้พรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่กล้าเข้าร่วมประกาศสัตยาบรรณครั้งนี้ คงเป็นเรื่องที่จะต้องไปสัญญาว่าจะไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เอาเสียง ส.ว.ที่ประชาชนไม่ได้เลือกมาช่วยให้ชนะในการเลือกนายกฯ ความจริงหากย้อนกลับไปดูทั้งเรื่องเราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน จะรีบคืนความสุขให้ประชาชน จนกระทั่งการล้มโต๊ะร่างรัฐธรรมนูญรอบแรกเพราะไม่ตอบโจทย์อยู่ยาว ก็น่าจะเป็นบทพิสูจน์แล้วว่า การเป็นนักการเมืองเต็มตัวที่ตัวเองว่าเข้ามาเพื่อปฏิรูปนั้น ทำกันได้จริงหรือแค่วาทกรรมลวงโลกเท่านั้น

พรรคประชาธิปัตย์หลังจากได้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาขึ้นเวทีปราศรัยหนแรกที่สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี อาจจะช่วยเรียกความคึกคักคืนมาได้ระดับหนึ่ง แต่หากดูอาการอดีตหัวหน้าพรรคเก่าแก่ไม่ได้เต็มร้อยเหมือนเดิม เป็นการช่วยหาเสียงในลักษณะไม่อาจปฏิเสธคำร้องขอจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่ตัวเองให้ความเคารพนับถือได้ เมื่อสู้ไม่เต็มตัว ลุยไม่เต็มสูบ โอกาสที่จะทำให้ผู้สมัครของพรรคได้เป็น ส.ส.ก็ยังน้อยอยู่เหมือนเดิม ที่ องอาจ คล้ามไพบูลย์ บอกว่าการกลับมาทำให้เกิดทิศทางในทางบวกและบวกนั้น เป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้น เพราะความเป็นจริงคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ตัดสินใจกันไปหมดแล้ว

หากไม่มีอะไรพลิกโผรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ คนที่สามของเพื่อไทยนอกจาก แพทองธาร ชินวัตร กับ เศรษฐา ทวีสิน แล้ว ชัยเกษม นิติสิริ จะเป็นคนที่ถูกเลือก ไม่มีอะไรมากไปกว่าวางคนที่มีแผลและศัตรูทางการเมืองน้อยที่สุดไว้เป็นตัวเลือกสุดท้าย เผื่อเหลือเผื่อขาดหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองกับแคนดิเดตสองรายชื่อแรก โดยทั้งพรรคและผู้ควบคุมต่างมั่นใจกันเป็นอย่างมากว่าทั้งนโยบายและแคนดิเดตนายกฯ ที่ได้ลุยงานกันมาต่อเนื่องนั้น ได้เข้าไปนั่งอยู่ในใจและประชาชนพร้อมที่จะเลือกแน่นอน

ส่วนภูมิใจไทยของ อนุทิน ชาญวีรกูล หลังจากเปิดโผผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่ตัวเองอยู่ในลำดับที่ 1 และ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคอยู่ลำดับที่ 2 ก็ปรากฏชื่อของ “เพลง” ชนม์ทิดา อัศวเหม เป็นผู้สมัครลำดับที่ 5 ที่เสี่ยหนูการันตีว่าอันดับดีเพราะเป็นลูกสาวตน อ้าว! ไหนว่าพรรคการเมืองไม่ใช่ธุรกิจของครอบครัว ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับพรรคนี้ ทุกอย่างถูกจัดสรรกันจนเป็นที่พอใจแล้ว นักการเมืองอาชีพที่ทำเพื่อปากท้อง กินอิ่ม อยู่สบายก็ไม่มีใครจะตีโพยตีพายอะไรอยู่แล้ว

Back to top button