ตลาดผันผวน ความเปราะบางของวอลุ่มเทรด
ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุด 1,518 จุด ขึ้นมาทะลุ 1,600 จุด ที่ถือเป็นแนวต้านสำคัญได้สำเร็จ
ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2566 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุด 1,518 จุด ขึ้นมาทะลุ 1,600 จุด ที่ถือเป็นแนวต้านสำคัญได้สำเร็จ
จากช่วงระยะเวลาเพียงแค่ 10 วันทำการ ดัชนีปรับตัวขึ้นมา 88 จุด หรือคิดเป็น เพิ่มขึ้น 5.81% นั้น ไม่ได้เกิดจากความแข็งแรงทางด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือมีข่าวดีเรื่องความแข็งแกร่งของตลาดเลขใด ๆ ปรากฏขึ้นเลย
ประกอบกับปริมาณการซื้อขายรวมของแต่ละวันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท นั้นถือว่าต่ำมาก คล้ายตลาดจะวาย ตลาดหุ้นบางวันเงียบเหงา เพราะคนไม่กล้าเล่น
ยิ่งดัชนีที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วแบบนี้ ยิ่งทำให้นักลงทุนไม่กล้าที่เข้ามายุ่ง หรือใส่เงินลงทุนเพิ่มในตลาดหุ้นไทย เนื่ิองจาก ปัญหาจากสถานการณ์สถาบันการเงินทั่วโลกที่ปะทุขึ้นมา ตั้งแต่สหรัฐฯ มาสวิตเซอร์แลนด์ และลามมาถึงเยอรมัน จนล่าสุด เศรษฐกิจของเวียดนาม ที่มีหลายคนประเมินว่า มีความคล้าย วิกฤติต้มยำกุ้ง บ้านเราสมัยปี 40
หลายปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ ทำให้เงินลงทุนใหม่ ๆ ไม่เข้ามาในตลาดหุ้น ในทางกลับกัน มีแต่ถอนออก หรือทยอยขายออก
แต่ทำไม SET INDEX จึงสวนทางกับการถอนเงินออก ทำไมดัชนีจึงพุ่งขึ้น ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง
เหตุผลของการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่ง มาจากการ cover short ของกลุ่มที่ทำ short sell ทั้งในส่วนที่ยืมหุ้นมา short (SBL) กับ อีกกลุ่มที่ไม่มีหุ้นยืมให้ short แต่สามารถทำการ short หุ้นออกมาก่อนได้ หรือที่เรียกว่า Naked Short ที่ก่อนหน้านี้ ที่ทางการได้จับ ผู้บริหารโบรกเกอร์ ที่ยอมให้ต่างชาติ Short หุ้น โดยวิธี naked short
นี่คือสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นผันผวน และไม่เป็นไปตามสภาพความเป็นจริง โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีวอลุ่มเทรดน้อย ๆ แบบนี้ เพราะทุกคนไม่มีใครกล้าใส่เงินใหม่เข้ามา เลยเป็นโอกาสของพวกฝรั่ง ที่จะทำวิธีแบบนี้
ประเด็นดังกล่าว จึงคลายข้อสงสัยว่า ทำไมตลาดหุ้นไทยจึงปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วไหลจาก 1,650 จุด ลงไปกองอยู่ที่ 1,518 จุด และดีดกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาไม่นาน
อีกเหตุผลหนึ่งที่จะเอามาซัพพอร์ต ข้อมูลดังกล่าว คือ ต่างชาติเหล่านี้ เห็นธุรกรรมการ Long ทั้งในส่วนของ TFEX และ Block Trade จึงถือเป็นโอกาสอันดี ในการที่จะได้กำไร จากการ cut loss หรือ ถือ margin call จากการเล่นในส่วนของ block trade หรือ เล่นหุ้นในบัญชีมาร์จิ้นก็ตาม
ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว การที่รายย่อยจะเสี่ยงเอาเงินเข้ามาเติม ควรต้องพินิจพิจารณาให้ดี เพราะความเปราะบางที่จะทำขึ้น หรือ กดลง สามารถทำได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ตราบใดที่มูลค่าการซื้อขายยังไม่สามารถกลับมายืนที่เฉลี่ย 8 หมื่นล้านบาทต่อวันได้ เงินที่เข้า ๆ ออก ๆ ในตลาดหุ้น คือเงินเก่าฟ่อนเดิม ๆ และมีแนวโน้มที่เงินจะไหลออกเพิ่มอีกต่างหาก