PTG ยังมีสตอรี่รออยู่

มองภาพในระยะกลาง PTG ยังมีสตอรี่เฉพาะตัว คือการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าขยะชุมชน และการนำธุรกิจ Palm Complex และ LPG เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ


เส้นทางนักลงทุน

หุ้น PTG หรือบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ตกลง 5 วันทำการติดต่อกัน ระหว่างวันที่ 30 มีนาคม จนถึงวันที่ 5 เมษายน 2566 ราคาทรุดจากระดับ 14.30 บาท ลงสู่ระดับ 13.20 บาท มูลค่าหายไป 1.1 บาท หรือ 7.7%

PTG ถือเป็นบริษัทที่มีพัฒนาการ เพราะกำลังแตกไลน์เข้าสู่วงการไฟแนนซ์ ด้วยการเจรจาไฟแนนซ์นอกตลาดหุ้นรายหนึ่ง ซึ่งทำธุรกิจสินเชื่ออยู่ในปัจจุบัน เพื่อเข้าร่วมทุนปล่อยสินเชื่อผ่านสาขาปั๊มน้ำมัน PT ทั่วประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นการปล่อยสินเชื่อผ่านปั๊มน้ำมันเป็นรายแรกของไทย

งานนี้ PTG จะอาศัยสาขาปั๊มน้ำมัน PT ทั่วประเทศ ที่มีกว่า 3,000 แห่ง เป็นช่องทางเข้าถึงฐานลูกค้า จากที่มีสมาชิกบัตร PT Max Card แล้วกว่า 19 ล้านราย ขณะที่ตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนสมาชิกเป็น 30 ล้านรายในอนาคต

และหากร้านอาหาร ร้านค้า หรือปั๊มน้ำมันต้องการจะขยายการปรับปรุงสาขา ต้องการกู้เงิน ก็สามารถมากู้เงินจากเสาหลักที่เป็นไฟแนนซ์ได้

เบื้องต้นธุรกิจใหม่นี้น่าจะเริ่มได้ภายในปี 2566 นี้ แต่ครึ่งปีแรกจะเป็นช่วงเริ่มดำเนินการ ดังนั้นจึงอาจจะเริ่มจากสินเชื่อเล็ก ๆ ก่อน และค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น และเริ่มปล่อยกู้ได้ในครึ่งปีหลัง แต่ภายใน 5 ปี ธุรกิจนี้จะถูกเติมเต็มในครบทุกประเภท เพราะมีฐานข้อมูลพร้อมจากบัตรสมาชิก โดยในปีนี้ PTG ได้จัดเตรียมงบลงทุนสำหรับธุรกิจใหม่ไว้ราว 1.5-2 พันล้านบาท ที่จะนำมาใช้รองรับการปล่อยสินเชื่อ

แรกเริ่มเดิมที PTG แจ้งเกิดจากธุรกิจจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก แต่มาถึงวันนี้ ธุรกิจได้แตกแขนงแบ่งออกได้เป็น 8 กลุ่มธุรกิจ คือ 1.ธุรกิจจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและธุรกิจค้าปลีก 2.ธุรกิจจำหน่ายแก๊ส LPG

3.ธุรกิจขนส่งและการจัดการคลังสินค้า โดยเป็นกิจการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับสถานีบริการน้ำมัน PT และการบริหารสินค้าคงคลัง 4.ธุรกิจพลังงานทดแทน และธุรกิจผลิตจำหน่ายไบโอดีเซลและน้ำมันปาล์มบริโภค

5.ธุรกิจระบบการบริหารและซ่อมบำรุงอุปกรณ์ในสถานีบริการ 6.ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 7.ธุรกิจศูนย์ให้บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ และรถเชิงพาณิชย์ และ 8.ธุรกิจการบริการเงินอิเล็กทรอนิกส์

วันนี้ PTG จึงไม่ใช่ธุรกิจ Oil and Gas เท่านั้น แต่มีร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่เป็นธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเป็นเสาหลักที่ 2 มีออโต้แบคส์ ที่เป็นธุรกิจบำรุงรักษารถยนต์เป็นเสาหลักที่ 3

และมี Retail ที่เป็นมากกว่าร้านสะดวกซื้อแมกซ์มาร์ท เป็นเสาหลักที่ 4 ตลอดจนมีแพลตฟอร์มอรินแคร์ และร้านขายยา เน็กซ์ ฟาร์มา ที่มีสาขากว่า 1.8 หมื่นสาขา เป็นเสาหลักที่ 5 ซึ่งเป็นการขยายเข้าสู่ธุรกิจด้านสุขภาพ (Health and Wellness)

นอกจากนี้ PTG ยังมีโรงไฟฟ้าขยะเป็น Green Energy เป็นเสาหลักที่ 6 และมี MAX Me วอลเล็ตเป็นเสาหลักที่ 7 สุดท้ายคือ ไลฟ์สไตล์และไฟแนนซ์

ในปี 2565 ที่ผ่านมา PTG มีรายได้รวม 179,422 ล้านบาท เติบโต 34.1% ขานรับผลบวกปริมาณการจำหน่ายน้ำมันพุ่ง 5,316 ล้านลิตร เติบโต 5.9% จากปีก่อน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดัน EBITDA กว่า 5,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% แต่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 934 ล้านบาท ลดลงกว่า 7% จากปีก่อนที่มีกำไรราว ๆ 1 พันล้านบาท

ขณะที่ ในปี 2566 นี้ วางเป้า EBITDA เติบโต 8-12% และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางเติบโต 8-12% จากปีก่อน ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งจะจัดงบลงทุน 5-6 พันล้านบาท รองรับการขยายธุรกิจ ทั้งการขยายสถานีบริการน้ำมันอย่างต่อเนื่อง

ส่วนธุรกิจ Non-Oil คาดหวังกำไรขั้นต้นคิดเป็น 20-30% ของกำไรขั้นต้นรวม โดยมุ่งเน้นการเติบโตในธุรกิจก๊าซ LPG, ธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่ตั้งเป้าขยายสาขาเป็น 1,500 สาขา จาก 511 สาขา ในปี 2565 ทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมัน และธุรกิจอื่น ๆ มีแผนขยายสาขาและ Touchpoints อย่างต่อเนื่อง

ด้านธุรกิจพลังงานทดแทน เช่น โครงการกำจัดขยะมูลฝอยเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากชุมชนขนาด 4.5 เมกะวัตต์ จังหวัดสงขลา คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในไตรมาส 3 ปี 2566 และคาดว่าจะเปิดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ภายในปี 2568

รวมถึงโครงการโซลาร์รูฟท็อปสถานีบริการน้ำมันที่ได้มีการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปไปแล้วทั้งหมด 33 สถานี ในปี 2565 ซึ่งมีกำลังไฟฟ้าทั้งหมด 601,037 kWh สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้กว่า 2.4 ล้านบาท ซึ่งมีแผนจะขยายการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในพื้นที่สถานีบริการน้ำมัน PT อีก 250-300 สถานี ภายในปี 2566 คาดว่าจะสามารถลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าในปี 2567 ได้เพิ่มเติม 40-60 ล้านบาท

หากมองภาพในระยะกลาง PTG ยังมีสตอรี่เฉพาะตัว คือการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าขยะชุมชน และการนำธุรกิจ Palm Complex และ LPG เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปี 2566 นี้

โบรกเกอร์จึงมีมุมมองที่ดีต่อ PTG โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินเบื้องต้นคาดกำไรปกติไตรมาส 1 ปี 2566 จะฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับ 150-200 ล้านบาท จากค่าการตลาดที่มีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับ 1.70-1.80 บาท/ลิตร เพราะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเริ่มทยอยปรับลดเงินนำส่งเข้ากองทุนฯ สำหรับน้ำมันดีเซล ตามมติของกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่เห็นชอบให้ปรับค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงกลับสู่ระดับปกติ

นอกจากนี้ การเติบโตของธุรกิจ LPG ตามการฟื้นตัวของระดับการบริโภคในประเทศ ซึ่งผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นตัว และการฟื้นตัวของส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจ Palm Complex ตามอุปสงค์การใช้น้ำมันไบโอดีเซลที่ฟื้นตัว หลังจากปรับสัดส่วนผสมไบโอดีเซลจาก B5 เป็น B7

จึงคงประมาณการกำไรปี 2566 ที่ 1,500 ล้านบาท เติบโต 62% จากปีก่อน และคงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปีที่ 16 บาท ให้คำแนะนำ “TRADING”

จากราคาที่โบรกเกอร์ให้ หากเทียบกับราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน ก็ถือว่า PTG ยังมีอัพไซด์เหลืออยู่

Back to top button