STARK ทำล้มทั้งกระดาน?
ประเด็นที่ “โมนิก้า” อยากเม้าท์ถึงมากสุดในเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องบรรยากาศการลงทุน เพราะสถานการณ์คงไม่มีอะไรแตกต่างจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
ประเด็นที่ “โมนิก้า” อยากเม้าท์ถึงมากสุดในเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องบรรยากาศการลงทุน เพราะสถานการณ์คงไม่มีอะไรแตกต่างจากสัปดาห์ที่ผ่านมา และอาการเหวี่ยงตัวไปมาก็คงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากแรงกดดันทั้ง “ภายใน” และ “ภายนอก” ยังปะทุขึ้นมาตลอดเวลา ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มชะลอการลงทุน เพราะหนทางที่ดัชนีจะขึ้นยาว ๆ กลับมาตีบตันอีกครั้งน่ะซี
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เดี๊ยนลุ้นได้แค่ดัชนีขึ้นไปยืนเหนือระดับ 1,600 จุดเท่านั้น! หากทำได้จริง..ก็ถือว่า บุญกะลาหัวแล้ว เพราะบรรยากาศการลงทุนมันไม่เอื้อเลยสักอย่าง ผนวกกับกลิ่นอายของสงครามเย็นเริ่มส่งกลิ่นแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังประเทศ “ฟินแลนด์” ประกาศตัวเข้าร่วมกับ “นาโต้” จึงกลายเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับคนที่มองเกมการเมืองระหว่างประเทศ และเรื่องนี้กระทบกับตลาดหุ้นเต็ม ๆ พะย่ะค่ะ
ที่สำคัญหากดูเฉพาะเรื่อง “ขึ้นดอกเบี้ย” มันคือหนามยอกอกชิ้นสำคัญของตลาดหุ้นไทย และทำให้การทะยานขึ้นเกิดอาการเครื่องสะดุดเป็นประจำ “โมนิก้า” ถึงอยากถามว่า การขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 1,577.07 จุด บวกไป 5.94 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.40 หมื่นล้านบาท เป็นการลากไปออกของเหมือนเช่นรอบก่อน ๆ หรือเปล่า? เพราะเดี๊ยนขนลุกซู่ทุกครั้งที่เห็นหุ้นไทยขึ้นแบบไม่มีความมั่นใจเจ้าค่ะ
คล้ายกับเรื่องเล่า “ผีหลอก วิญญาณหลอน” ที่เกิดกับหุ้น STARK ก็มีเรื่องราวให้ผู้คนที่คร่ำหวอดในตลาดหุ้นขวัญผวาไปตามกัน เพราะกลิ่นอายของเรื่องราวชักเหมือนกับหุ้นถ่านหิน EARTH เข้าไปทุกที..ไล่เรียงตั้งแต่ส่งงบไม่ได้แบบไม่ให้ใครตั้งตัว มันทำให้ “กองทุน” และ “แมงเม่า” เกิดอาการช็อกตาตั้งไปตามกัน เพราะไม่นึกไม่ฝันว่า หุ้นที่สร้างโปรไฟล์ดูดีมีชาติตระกูลจะพลาดอะไรง่าย ๆ นะจ๊ะ
โดยเรื่องราวดังกล่าวเริ่มบานปลายมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็อีตอนที่ขอเลื่อนส่งงบประจำปี 65 เป็นวันที่ 21 เม.ย. จากเดิมที่ต้องส่งภายใน 31 มี.ค. พร้อมกับให้เหตุผลในทำนองนับสต๊อกไม่ทัน! “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับบริษัทที่มีธุรกิจอยู่ต่างประเทศ เพราะในอดีตมันเคยมีตัวอย่างเรื่องสต๊อกลมให้เห็นมานักต่อนัก เดี๊ยนจึงได้แต่หวังในใจว่า ครั้งนี้จะไม่เป็นเหมือนกับในอดีตนะตัวเอง
ถามว่า หากครบกำหนดเลื่อนส่งงบ แต่บริษัทส่งงบไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? เดี๊ยนตอบได้ทันทีว่า สถานการณ์ของบริษัทจะระส่ำอย่างหนัก เพราะคนที่รับผิดชอบโดยตรงอย่าง ก.ล.ต. จะออกคำสั่งให้ตั้ง “สเปเชียล ออดิท” ถัดจากนั้นจะเกิดปรากฏการณ์แบงก์ริบวงเงินที่ปล่อยให้ (เอิร์ธเคยโดนมาแล้ว) ซึ่งจะกระทบกับการทำธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ และอาจลามไปถึงเรื่องหุ้นกู้อีกด้วยนะจะบอกให้
สถานการณ์ตรงนี้แหละที่เป็นเรื่องผู้ถือหุ้นกู้เกิดอาการละเหี่ยใจแบบสุด ๆ เพราะเมื่อย้อนดูมติที่ประชุมปี 65 ได้มีการออกหุ้นกู้จำนวน 3 ชุด ซึ่งแต่ละชุดมีอายุ 9 เดือน 2 ปี และ 3 ปี เพื่อขายให้กับนักลงทุนสถาบัน และรายใหญ่ และในช่วงต้นปี 66 ก็ออกหุ้นกู้อายุ 2 ปีอีกหนึ่งชุด..นั่นหมายความว่า หากบริษัทเกิดแอคซิเดนท์ขึ้นมาจริง ๆ ใบหุ้นก็จะกลายเป็นกระดาษห่อกล้วยแขก (ขนาดได้เรตติ้ง BBB+) ในทันทีนะออเจ้า
สถานการณ์ตรงนี้ก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า ทริสให้เรตติ้งแบบนี้มาได้อย่างไร? และต้องอธิบายกับสังคมให้กระจ่างชัด! ขณะเดียวกัน ตลท. ก็ต้องออกมาชี้แจงให้สังคมได้รู้ว่า ตลาดหุ้นกู้จะล้มเป็นโดมิโนเหมือนสมัยก่อนไหม? “โมนิก้า” ถึงตั้งจิตภาวนาตลอดเวลาว่า อย่าให้เป็นเหมือนที่เล่าให้ฟังเลย เพราะถ้าเป็นจริงเหมือนที่เล่ามาทั้งหมด บริษัทนี้เข้าสู่โซนของการล้มละลายนะคุณพี่!
ตบท้ายกันที่ 2 หญิงแกร่งที่เข้าสู่รอบชิงดำในตำแหน่ง เลขาฯ ก.ล.ต. คนที่ 13 กันดีกว่า เพราะในส่วนของคุณพี่ “วรัชญา” และคุณพี่ “พรอนงค์” ต่างเป็นที่ชื่นชอบของคนใน ก.ล.ต. และ ตลท. กันทั้งนั้น..โดยรายแรกถือเป็นลูกหม้อที่คุ้นเคยกับงานเชิงรุกทุกมิติ (สายเหยี่ยว) ส่วนรายหลังก็เก่งทั้งเรื่อง CFA-CIA และยังคลุกคลีกับตลาดหุ้นมานาน จึงไม่มีประเด็นที่อีฉันติดใจ..อ้อ! สมัยหนึ่งเราก็ได้ “อ.วรพล” ซึ่งเป็นอาจารย์ที่นิด้ามาขับเคลื่อนตลาดทุนได้เลย..จึงขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับทั้งสองคน เพราะงานนี้ใครก็ได้!..ขนาด “เจ๊แป๋ว” ยังข้ามห้วยจาก “กรมคุมประพฤติ” หน้าตาเฉย..อิอิอิ