ย้อนรอย STARK กลวงใน

สัปดาห์นี้ถือเป็นสัปดาห์ของการชิงเหลี่ยมทางการเมืองอย่างชัดเจน เพราะเป็นช่วงก่อนเข้าโค้งสุดท้ายเลือกตั้ง


สัปดาห์นี้ถือเป็นสัปดาห์ของการชิงเหลี่ยมทางการเมืองอย่างชัดเจน เพราะเป็นช่วงก่อนเข้าโค้งสุดท้ายเลือกตั้ง “โมนิก้า” จึงเชื่ออย่างสนิทใจว่า สัปดาห์นี้จะมีการขุดสารพัดวิชามารออกมาถล่มคู่แข่งให้ราพณาสูร และหนึ่งในทีเด็ดที่หลายคนจับตาดูมากสุดก็คือ ขุดอดีตที่ใครหลายคนไม่เคยรู้มาก่อนออกมาแฉ ซึ่งเป็นเกมที่นิยมอย่างมากสำหรับการเมืองน้ำเน่าของไทยนะจะบอกให้

งานนี้ใครจะ “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ” ก็ใช้วิจารณญาณตัดสินใจกันเอาเอง แต่สำหรับตัว “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของสันดานนักการเมืองที่แก้ไม่หาย จึงได้แต่เฝ้ามองหมากัดกันอยู่บนภูอย่างสบายใจเฉิบ เพราะมันทำให้เดี๊ยนได้รู้เรื่องราวของคนที่มีผลประโยชน์แอบแฝงมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังนโยบายทางเศรษฐกิจมันเอื้อให้กลุ่มทุนบางกลุ่มไม่มากก็น้อย ซึ่งจะเป็นจุดที่ถูกตีแผ่อย่างหนักแน่นอนเจ้าค่ะ

ด้วยบรรยากาศที่ผู้คนโน้มเอียงไปหาเรื่องการเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ และไปที่ไหนก็มีแต่คนเม้าท์มอยถึงนโยบายเศรษฐกิจมากกว่าเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น “โมนิก้า” เลยไม่แปลกใจที่สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยง่อนแง่นไปตามกัน เพราะนักลงทุนไม่มีอารมณ์จะดูหุ้นแบบจริงจัง และเป็นเหตุให้ขาใหญ่พากันขายหุ้นทิ้งเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ดัชนีถึงลงมายืนปิดที่ 1,558.36 จุด ลบไป 6.74 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.76 หมื่นล้านบาทไงล่ะคะ

เม้าท์ถึงเรื่องหุ้นขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” คงต้องย้อนรอยกลับไปยังมหากาฬ STARK เพื่อเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกจนนำไปสู่ความฉิบ.. ของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับหุ้นตัวนี้  เดี๊ยนจึงขอเท้าความเพื่อระลึกชาติกันสักหน่อย! และก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า หุ้นตัวนี้ไม่ได้ทำ IPO แต่ใช้วิธีเข้าตลาดหุ้นด้วยการ Backdoor บริษัท สยามอินเตอร์มัลติมีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ SMM ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เรียกเสียงฮือฮาเป็นอย่างมากนะคะ

โดยเฉพาะเสียงเม้าท์มอยในช่วงปลายปี 61 มีการพูดถึงพื้นฐานของบริษัทจะเปลี่ยนไปตั้งแต่ปี 62 และจะกลายเป็นบริษัทที่มีรายได้หมื่นล้าน และจะสลัดจากโรคขาดทุนเรื้อรังมาเป็นกำไรพันล้านนับตั้งแต่ปี 63 และเรื่องนี้ก็เป็นจริงเหมือนที่มีเสียงร่ำลือเสียด้วย จึงกลายเป็นหุ้นเนื้อหอมที่บรรดา “กองทุน” และ “เซียนหุ้น” รู้สึกปลื้มปริ่มเป็นอย่างมากในช่วงที่เริ่มมีการเดบิวต์นะจ๊ะ

เนื่องจากในวันเดบิวต์กลุ่มทุนใหม่ถูกขนามนามว่า Fantastic 4” ซึ่งเป็นการรวมพล “คนเหนือมนุษย์” ที่มากด้วยความปราดเปรียว ไม่ว่าจะเป็น “มือของนายทุน มือปรับโครงสร้าง มือกฎหมาย มือดีลรายใหญ่” ส่งผลให้ชื่อของ “เอ โอ๋ กอล์ฟ คริส”  ถูกพูดถึงทุกครั้งเมื่อมีข่าวไปพรีเซนต์กับพวกกองทุน พร้อมกับขายฝันแบบจัดเต็มว่า ธุรกิจสายไฟและสายเคเบิลยี่ห้อ “เฟ้ลปส์ ดอด์จ” อยู่มาถึง 5 ทศวรรษ และได้การยอมรับกว่า 30 ประเทศนะจะบอกให้

ตรงนี้ถูกย้ำหัวหมุดอีกครั้งเมื่อในปี 63 เมื่อบริษัทเดินเกมบุกทั้งในและต่างประเทศด้วยการผนึกกับ “บริษัท ไทยเคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล” ผู้ผลิตสายไฟฟ้าตัวนำทองแดงและอลูมิเนียม และในขณะเดียวกันก็ดีลกับ Thinh Phat Electric Cable Joint Stock Company” ผู้ผลิตสายไฟฟ้ารายใหญ่เวียดนาม และดันให้บริษัทเป็นผู้นำในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และขึ้นสู่ผู้ผลิตสายไฟฟ้าระดับ 14 ของโลก..ภูมิใจเหลือเกินนะพ่อคุณ!

เมื่อบริษัทมีการขยายลงทุนแบบเทหมดหน้าตัก ก็จำเป็นต้องหาเงินเพิ่มด้วยการออกหุ้นกู้ออกมาเป็นตับ (รวมเบ็ดเสร็จ 9.20 พันล้านบาท) เพื่อทำให้ธุรกิจมีความคล่องตัวทางการเงิน ขณะเดียวกันก็มีขอเพิ่มวงเงิน (สั้นและยาว 7 พันล้าน) SCB KBANK เพื่อรองรับธุรกรรมที่ใหญ่ขึ้น และทำให้ในปี 64 เป็นปีเริ่มต้นของความบรรลัย เพราะหลังจากนั้นในปี 65 ก็ประกาศเพิ่มทุน ในราคา 3.72 บาท จำนวน 1.50 พันล้านหุ้น เพื่อขายให้กับ 12 กองทุน ซึ่งเป็นการระดมเงินราว 5 พันล้านบาท ไว้ใช้สำหรับซื้อหุ้นทั้งหมดของ LEONI ยังจำกันได้ไหมคะ

ในระหว่างนั้นก็มีเสียงค่อนแคะเกี่ยวกับ LEONI ไม่ได้ดีเหมือนที่คาดหวัง และทำให้นักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ ทยอยขายหุ้นเพื่อปิดความเสี่ยง และในท้ายที่สุดก็ทำให้ “เฮียโอ๋” ตัดสินใจประกาศล้มดีล และนำไปสู่การสาดหุ้นทิ้งแบบไม่มีเยื่อใย พร้อมกับได้ยินเสียงกองทุนร้องครวญคราง เพราะไม่คิดว่า พวกเหนือมนุษย์จะทำได้ลงคอ! และในเวลาเดียวกันก็ทำให้ “เสี่ยกอล์ฟ” สละเรือเป็นคนแรกของเหล่าทีมยอดมนุษย์เจ้าค่ะ

ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ งบปี 65 ปิดไม่ลง (สต๊อกบวม สต๊อกหาย เดี๋ยวรู้กัน) พร้อมกับมีเสียงร่ำลือถึงรอยร้าวระหว่าง “เอ” กับ “โอ๋” หนาหูขึ้นเรื่อย ๆ หลังมีเดดไลน์ส่งงบวันที่ 21 เม.ย. เป็นตัวค้ำคอ แต่สถานการณ์จริงก็ส่อเค้าว่า ส่งงบไม่ทัน! จึงเตะโด่ง “เฮียโอ๋” พร้อมกับเด้งบอร์ดยกชุด แล้วดันเอาทายาทคนโตของสีทีโอเอ “เฮียเอ” ขึ้นมานั่งรักษาการ CEO แทน..นี่จึงเป็นบทสรุปเบื้องต้นที่เดี๊ยนนำมาเล่าให้ฟังเป็นน้ำจิ้ม เพราะวันถัดไปจะลงลึกถึงความผิดปกตินะจ๊ะ

Back to top button